บทนำ : ปลดล็อกวัคซีน
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นตัวแทนมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ให้ประเทศไทย 1.05 ล้านโดส เอกสารข่าวของสถานทูตระบุว่า ประเทศไทย ประสบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังไม่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวได้ คนไทยประมาณ 5% ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จำนวนวัคซีนที่จัดเตรียมและวางแผนการผลิตในประเทศ 70 ล้านโดส ยังไม่เพียงพอ จากจำนวนที่จะต้องจัดหา 100 ล้านโดส นอกจากนี้ การผลิตวัคซีนในประเทศยังคงมีความล่าช้า จึงทำให้การจัดหาวัคซีนโควิด-19 เป็นปัญหาที่สำคัญและเร่งด่วนอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลไทย
เอกสารข่าวระบุว่า การมอบวัคซีนครั้งนี้ มุ่งหวังว่าจะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยได้ วัคซีนดังกล่าวจะขนส่งทางอากาศมาถึงประเทศไทยในวันที่ 9 กรกฎาคม และระบุด้วยว่า ญี่ปุ่นคำนึงถึงความสำคัญในการเข้าถึงวัคซีนที่ผ่านการรับรองทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย อย่างเท่าเทียมในทุกๆ ภูมิภาคและทุกๆ ประเทศ อีกทั้ง มุ่งมั่นที่จะมอบความช่วยเหลือเช่นนี้ต่อไปในอนาคต โดยร่วมมือกับประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้สิ้นสุดลงได้โดยเร็ว
ปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นที่รับรู้โดยทั่วไป การมอบวัคซีนจำนวนดังกล่าว น่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม วัคซีนก็ยังไม่เพียงพอสำหรับฉีดตามเป้าหมายอยู่ดี ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ คนไทยยังต้องการวัคซีนคุณภาพ ต้องการทางเลือก และต้องการวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันจากโควิดสายพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามาระบาดในประเทศ ดังเสียงเรียกร้องจาก นายแพทย์กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. ให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA และวัคซีนชนิดที่มีไวรัสเป็นพาหะให้มากขึ้น แทนสัดส่วนการนำเข้าวัคซีนชนิดเชื้อตายอย่าง Sinovac ที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย ที่จะกลายเป็นเชื้อที่ระบาดวงกว้างที่สุดทั่วโลก เป็นอีกเหตุผลที่ต้องมีวัคซีนที่หลากหลาย เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันในการต่อสู้กับแพร่ระบาดมากขึ้น
