กว่า 20 ปีที่ผ่านมาการ “แก้ปัญหาหนี้สินครู” เป็นนโยบายที่เกิดขึ้นในทุกรัฐบาล จากมูลค่าหนี้รวม 1.2 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2558 ขยับมาเป็น 1.4 ล้านล้านบาท
ในปัจจุบัน
ตัวเลขหนี้ที่สูงขึ้นทุกๆ ปี เป็นภาพสะท้อนว่านโยบายที่ผ่านมามีความล้มเหลวมากน้อยแค่ไหนในการแก้หนี้สินครู
ในรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งเห็นความชัดเจนที่จะแก้หนี้สินครู ในช่วงปีสุดท้ายก่อนครบวาระ 4 ปี
โดยได้มอบ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน เป็นหัวเรือใหญ่เข้ามาดูแลเรื่องนี้
ซึ่งขณะนี้นายสุพัฒนพงษ์ จัดทำโมเดลแก้หนี้ครูไว้แล้ว แต่ยังต้องหารือกับกระทรวงศึกษาฯ ก.การคลัง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยโมเดลการแก้หนี้ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เบื้องต้นตามที่ “ครูเหน่ง” น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าไว้นั้น สรุปได้ 2 แนวทาง
1.ศธ. กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา บูรณาการร่วมกันโดยนำรูปแบบวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้ครูที่มีอยู่มากาง และวิเคราะห์ว่าแนวทางไหนเหมาะสมและเป็นไปได้มากที่สุด
2.เจรจาสหกรณ์ออมทรัพย์ครูในฐานะเจ้าหนี้หลักของครูเพื่อขอลดดอกเบี้ย
เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะต้องเสนอไปให้ “บิ๊กตู่” พิจารณาอีกครั้ง
แต่ยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่ชัดว่าจะต้องแล้วเสร็จภายในกี่เดือน จะทันก่อนครบวาระรัฐบาลชุดนี้ที่เหลือเวลาอีกกว่าปีหรือไม่
หากแนวทางการเจรจาขอให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ลดดอกเบี้ยตามที่ “ครูเหน่ง” ระบุไว้ทำได้จริงก็จะช่วยบรรเทาหนี้สินครูได้ระดับหนึ่ง
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะสหกรณ์ส่วนใหญ่ได้ไปกู้แบงก์มาปล่อยกู้ด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญแนวคิดนี้เคยพูดกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็แท้งทุกรอบ ไม่มีสหกรณ์ไหนจะลดดอกเบี้ยให้
ปัจจุบันดอกเบี้ยที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูปล่อยกู้นั้นจะอยู่ระหว่างร้อยละ 5.70-7.75 ต่อปี โดยประมาณ
การปล่อยกู้จะมีหลักเกณฑ์ที่คล้ายกัน เช่น จะต้องมีเงินเดือนคงเหลือเท่าไร การกำหนดผู้ค้ำประกัน การหักหนี้ผ่านบัญชีเงินเดือน เป็นต้น
แต่ส่วนใหญ่แล้วกู้ง่าย แค่มีคนค้ำประกันเท่านั้น
ครูผู้ช่วยใน จ.นครราชสีมา คนหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า บรรจุเป็นครูผู้ช่วยได้ไม่กี่เดือนก็สมัครเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครู และยื่นกู้เงินมาเกือบ 1 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือครอบครัว ก็เหลือเงินราว 9,000 กว่าบาท จากนั้นทางสหกรณ์ฯก็มีโครงการให้กู้อีกจึงไปกู้เพิ่มมาอีกจำนวนหนึ่ง หักหนี้สินแต่ละเดือนแล้วก็จะเหลือเงินไม่มาก ก็ต้องบริหารจัดการให้พอใช้จ่าย
“สหกรณ์ฯจะมีโครงการให้กู้อยู่เรื่อยๆ อย่างช่วงโควิด-19 ก็ปล่อยกู้ช่วยเหลือ 1-2 แสนบาทต่อคน หรืออยากจะมีรถ มีบ้านก็ไปยื่นกู้ได้” ครูผู้ช่วยกล่าว
นอกจากการเจรจาลดดอกเบี้ยกับสหกรณ์แล้ว คาดว่าน่าจะมีอีกหลายแนวทางที่ออกมา
ทั้งการขอลดดอกเบี้ยแบงก์รัฐที่ครูเป็นลูกหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ในกลุ่มครูที่มีหนี้วิกฤตที่มีจำนวนหลักหมื่นคน โดยกลุ่มนี้ไม่สามารถส่งคืนเงินกู้ได้ปกติ
อีกทั้งยังมีกลุ่มที่เป็นหนี้กำลังถึงขั้นวิกฤต คือ ส่งคืนได้ปกติทุกเดือน แต่ไม่มีเงินเหลือเพียงพอที่จะใช้จ่ายแต่ละเดือน
ไม่นานเกินรอการแก้หนี้สินครูน่าจะได้ข้อสรุป ช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้
แนวทางที่จะคลอดออกมานอกจากการสะสางหนี้สินแล้ว ควรต้องปลูกฝังสร้างวินัยทางการเงิน ลดการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น
ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ายิ่งแก้หนี้สินยิ่งพอกพูน