เดินหน้าชน : ปลุกกระแส Call out โดย เสกสรรค์ กิตติทวีสิน

กรณี “มิลลิ” นักร้องแร็พเปอร์ วัย 19 ปี ต้องเดินทางไปเสียค่าปรับ 2 พันบาท ที่ สน.นางเลิ้ง หลังตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาข้อหาดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ที่ไปวิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรีและการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งที่เรื่องไม่น่าจะเดินทางมาไกลขนาดนี้

แม้จะเป็นสิทธิที่ผู้เสียหายจะดำเนินการตามกฎหมาย แต่นั่นเท่ากับช่วยจุดไฟกองโตแห่งความชังรัฐบาลขึ้นมา

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด ไม่ว่ารัฐบาลไหนในโลกก็เหนื่อยกันทั้งนั้น ไหนจะแก้ปัญหาคนป่วยติดเชื้อ ไปจนถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่สูญเสียมหาศาล

วันนี้ รัฐบาลต้องยอมรับว่า การบริหารจัดการกับเรื่องโควิด โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีนที่นำมาฉีดนั้น มีโอกาสและเวลามากมายก่อนหน้านี้ที่จะเลือกจัดหาจัดซื้อมา แต่กลับไม่ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อสู้กับการกลายพันธุ์ของโควิดมาฉีดใส่แขนประชาชน เมื่อโอกาสผ่านเลยไป ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มากขึ้นเพราะสายพันธุ์อินเดียนั้นติดกันง่ายจริงๆ แต่ละพื้นที่อลหม่านกันไปหมด ทั้งผู้ติดเชื้อที่มีมากหลักหมื่นต้นๆ มาหลายวัน ตัวเลขเสียชีวิตก็เพิ่มเป็นหลักร้อย

Advertisement

เฉพาะเรื่องวัคซีนอย่างเดียว รัฐบาลก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากทั่วสารทิศ คนของรัฐบาลเองที่บอกว่า นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังข้อคิดเห็นทุกฝ่าย

ส่วนเสียงสะท้อนของประชาชน คนที่มีชื่อเสียงทั้งนักร้อง นักแสดง ศิลปินมากมาย ที่ออกมาแสดงการไม่ถูกใจกับการทำงานของรัฐบาล ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่ฝั่งนายกฯ น่าจะเข้าใจและรับฟังอย่างตรงไปตรงมา ความเห็นไหนที่เข้าท่าก็มีมากมาย ส่วนความเห็นที่ไร้เหตุผลก็ตัดทิ้งไป

ทุกวันนี้ งานของรัฐบาลก็ล้นมืออยู่แล้ว ไม่ควรไปเปิดศึกเรื่อง Call out ที่เขาเหล่านี้ล้วนมีสิทธิที่จะแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์โควิด

Advertisement

การ call out หรือการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเครื่องมือสะท้อนฝีมือของรัฐบาล น่าเสียดายที่หน่วยงานบางกระทรวงเลือกที่จะขู่ด้วยกฎหมายเพื่อ “ปิดปาก” เสียงเหล่านี้ กลับไปช่วยปลุกกระแส Call out ให้มากขึ้น

มิลลิ หลังเสียค่าปรับได้บอกแล้วด้วยว่า ก็ยังใช้สิทธิเสรีภาพในการ Call out ต่อไป

ศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กน่าสนใจ “ปัญหาใหญ่ของประเทศตอนนี้คือ ประชาชนมีสิทธิ แต่รัฐไม่รู้จักหน้าที่”

“ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดง หรือใครก็แล้วแต่ รวมถึงคนธรรมดาอย่างเราๆ มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Freedom of opinion) ซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (Fundamental rights) ของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครอง หากเขามีความคิดความเห็นอย่างไรต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล หรือแม้แต่ท่าน รมว. เอง ตราบเท่าที่ไม่ได้ไปด่าทออย่างไม่มีเหตุมีผล พวกเขาย่อมมีเสรีภาพที่ทำได้เสมอ รัฐธรรมนูญคุ้มครองเสรีภาพของประชาชนตรงนี้ อันเป็นการสอดคล้องกับหลักการในทางกฎหมายอาญาที่รับรองว่า ประชาชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดได้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิดหากเป็นการติชมอย่างสุจริต”

อาจารย์พรสันต์ยังบอกว่า “รัฐบาล” รวมถึงท่านเองเป็น “องค์กรของรัฐ” (Public entity) หรือเจ้าหน้าที่รัฐ (Public official) ที่เข้ามาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชน ท่านไม่ใช่ “องค์กรเอกชน” (Private entity) หรือเอกชนทั่วๆ ไป

การที่ประชาชนแสดงความคิดความเห็นจึงเป็นกรณีที่ “เจ้าของอำนาจอธิปไตย” ซึ่งอนุญาตให้พวกท่านเข้าไปทำงานอยู่ตอนนี้ กำลังตรวจสอบพวกท่าน ตามครรลองของ “ระบอบประชาธิปไตยแบบผู้แทน” ตามหลักและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ “รัฐบาลจึงมีหน้าที่” ที่จะต้องรับฟังการแสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ของประชาชน

ขณะที่การขู่เสียง Call out ที่เกิดขึ้น ได้ทำให้เหล่าดารา ศิลปิน ออกมา Call out กันหนักขึ้นกว่าเดิม ลั่นพร้อมที่จะฟ้องร้องกลับเช่นกัน คงลืมไปแล้วหรือว่าดารา ศิลปิน หรือผู้ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ต่างมีกองเชียร์ แฟนคลับติดตามกันมากมาย รวมกันหลายคนก็หลายสิบล้านที่หนุนหลังเต็มที่

รัฐบาลควรจะเข้าใจว่า เสียงวิจารณ์ที่เข้ามาไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เพราะคนทุกกลุ่มล้วนรู้สึกอย่างเดียวกันหมดแล้ว จึงได้ call out ออกมา โดยมิได้นัดหมาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image