ภาพเก่าเล่าตำนาน : มาตรฐาน…เตาเผาศพ+สัปเหร่อ โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

“เตาเผาศพ” ที่ร้อนจัดต่อเนื่อง…กำลังเป็น “ประเด็นร้อน” …

นักข่าวโทรทัศน์… ไปพูดคุยกับ “สัปเหร่อ” ณ วัดแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ ได้ข้อมูล “ปลายทาง” ของชีวิตมนุษย์ทุกคน ที่สังคมไทยลืมอาชีพของ “สัปเหร่อ” คนที่ต้องเผชิญกับศพ (ติดเชื้อโควิด-19) คนในอาชีพนี้ต้องนำเอาศพเข้าเตาเผา… คนแล้วคนเล่า

สัปเหร่อเผยว่า..บางวัดไม่ยอมรับศพไปเผา ทั้งๆ ที่ เมรุเผาศพ วัด อาคารทั้งหลายในวัด ล้วนเป็นเงินที่ประชาชนบริจาค ทำบุญมา..

ทำให้บางวัดต้องรับภาระหนักในการเผา..ควรมีการเฉลี่ยบ้าง

Advertisement

สัปเหร่อที่สัตย์ซื่อ…บอกว่า… จบแค่ ป.4 มีชุดป้องกันเชื้อชุดเดียว เผาศพมามหาศาลในช่วงโควิด… คุณลุงบรรยายภาพเตาเผา ไฟลุกโชนที่ทุกคนต้อง “ไปถึง” พร้อมทั้งนำกระดูก อัฐิ ที่ผ่านการเผาไหม้มาแสดงให้ประจักษ์…บางรายก็ไม่มีญาติมารับ สัปเหร่อต้องนำใส่กระสอบไปทิ้งแม่น้ำ….

ดูข่าวนี้แล้ว…ได้สติ ตื่นรู้ สว่าง และจิตสงบดี

ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดโรคห่า …ชาวสยามล้มตายเป็นใบไม้ร่วง มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันคือผีห่าซาตาน มันคือเวรกรรม หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษผู้คนในแผ่นดิน…

Advertisement

ข้อมูลจาก ศิลปวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2564..

โรคระบาด 3 ชนิดที่ทำความพินาศในสยาม คือ อหิวาต์ ไข้ทรพิษ กาฬโรค (ทั่วโลกก็ประสบเช่นกัน)

ในสมัยรัชกาลที่ 2 อหิวาตกโรคได้ระบาดขึ้นเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2363 มาจากอินเดียเข้ากรุงเทพฯ มาขึ้นปีนังและหัวเมืองฝ่ายตะวันตก มาถึงจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดพระนคร โรคระบาดมากอยู่ราว 2 สัปดาห์ คนตายกันจนเผาไม่ทัน ทิ้งศพที่ป่าช้าตามวัดสระเกศ วัดบางลาภ วัดบพิตรพิมุข วัดปทุมคงคา และวัดอื่นๆ

ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้น ในปี พ.ศ.2392 มาจากอินเดียไปทั่วยุโรป อเมริกา ระบาดเข้าประเทศไทยโดยผ่านเข้ามาทางปัตตานี สงขลา มาทางเรือเข้าสมุทรปราการและกรุงเทพฯ ระบาดหนักอยู่ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เมื่อได้สํารวจศพที่วัดสระเกศ วัดบพิตรพิมุข และวัดสังเวช รวม 28 วัน มีศพ 5,457 หรือประมาณวันละ 194 ศพ มีผู้ตายด้วยอหิวาตกโรคครั้งนี้ประมาณ 10% ของพลเมือง เสนาบดีคนสำคัญสมัยนั้น ได้แก่ เจ้าพระยาบดินทร์เดชาก็ถึงแก่อนิจกรรมด้วยอหิวาตกโรคในคราวนี้

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดโรคระบาดใหญ่ พ.ศ.2416 เป็นการระบาดทั่วโลก…คราวนี้เกิดจากชาวมุสลิม ซึ่งกลับจากเมืองมักกะห์ ได้นําโรคมาระบาดไปทั่วแอฟริกา ยุโรป และอเมริกา สําหรับเอเชียระบาดเข้าประเทศจีน มลายู และไทย

พ.ศ.2424 เกิดระบาดใหญ่ทั่วโลก คาดว่าโรคระบาดมาจากมักกะห์เช่นเดียวกัน

วิทยาการทางการแพทย์ ยังบอกไม่ได้ชัดเจนว่า..นี่คือ โรคอะไร
พ.ศ.2426 โรเบิร์ต ค็อก ได้พบเชื้อโรคที่ทําให้เกิดอหิวาตกโรค จึงทำให้ยุโรป อเมริกา บรรเทาลง แต่ยังคงมีประปรายอยู่ในเอเชีย ได้แก่ พม่า มลายู จีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และไทย

ในหลวงรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์กับข้าราชอื่นรวม 48 คน จัดตั้ง “โรงรักษาผู้ป่วย” ในพระนคร…

นี่เป็นตัวอย่างพอเป็นสังเขปนะครับ…

แต่ก่อน…เฉพาะในพระนคร ..มีกฎระเบียบว่า จะเผาคนตาย (สามัญชน) ในเขตกำแพงเมืองไม่ได้…ศพคนตายจะต้องถูกหามออกไปเผานอกเมือง….ต้องผ่านทางประตูเมืองออกไป

ประตูเมืองที่ใกล้ที่สุด วัดเผาศพแบบมืออาชีพ คือ วัดสระเกศ

ประตูเมือง ที่หามศพออกไปนับพันศพ ถูกเรียกว่า “ประตูผี” ซึ่งต่อมากลายเป็นแบรนด์ของ “ผัดไทย” ที่อร่อยจนลืมตาย

ชาวพระนครตายแยะ แถมคนนอกกำแพงเมืองก็ตายเยอะ กลายเป็นศพจำนวนมหาศาล สัปเหร่อใช้ฟืนทยอยเผาศพ เผากลางแจ้ง ไม่มีเมรุ ไม่มีอาคาร ไม่ต้องมีเตา…

ศพหลั่งไหลมาไม่หยุด …ฟืนไม่พอเผา..แถมฝนตกอีกต่างหาก ศพเกลื่อนวัด จัดการไม่ทัน ศพต้องถูกปล่อยไว้บนลาน

“ห่วงโซ่อาหาร” แบบฉับพลัน อุบัติขึ้นโดยธรรมชาติ

“อีแร้ง” ได้กลิ่น-เห็นอาหาร…เริ่มเข้ามาเกาะกิ่งไม้ หลังคาวัด เพื่อสังเกตการณ์ หาจังหวะโผลงมาจิกกินร่างคนตาย

จากจำนวน 3-4 ตัว….แร้งกลายเป็นฝูง ลงมาหาอาหารกินแบบไร้การขัดขวาง ในเวลาเดียวกันก็สมประโยชน์ …ช่วยลดงานสัปเหร่อ

ช่วงแร้งลง..เลยกลายเป็นภาพที่คุ้นตา เคยชิน มีคนมานั่งชม และในที่สุดกลายเป็นตำนาน “แร้งวัดสระเกศ-เปรตวัดสุทัศน์”

ส่วนการทำศพแบบศาสนาอิสลาม คือ “การฝัง” ถือเป็นการกลับคืนสู่ดินที่เป็นต้นกำเนิด เพราะในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า

“จากแผ่นดินเราได้บังเกิดพวกเจ้า และ ณ แผ่นดินนั้นเราจะให้พวกเจ้ากลับคืนไป…” (อัลกุรอาน 20:55)

เมื่อพี่น้องมุสลิมคนใดสิ้นชีพลง ครอบครัวและญาติมิตรจะมาช่วยกันทำพิธีศพ ไม่เน้นสิ่งใดที่เกินความจำเป็น เรียบง่าย สำรวม

โดยปกติแล้วจะต้องฝังภายใน 24 ชั่วโมง (อาจมีข้อยกเว้นบางกรณี) เพราะถือว่าถ้าไว้นานจะทำให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่ต้องเสียใจเพิ่มมากขึ้น

“มัยยิต” (mayyit คือ ผู้เสียชีวิต) ถูกนำไปประกอบพิธีทางศาสนาที่มัสยิดและฝังที่ “กุโบร์” สิ่งที่ญาติต้องเตรียมการคือขุดหลุมฝังลึกประมาณ 2 เมตร เพื่อไม่ให้สัตว์มาขุดคุ้ยได้ โดยมีทีมอาสาขุดประจำอยู่ที่มัสยิด…..

ลองมาดูแนวทางของ “ชาวไทยเชื้อสายจีน” กันบ้าง

การจัดการศพแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การฝังและการเผา

ชาวจีนบางส่วนเชื่อว่า หากมีการฝังศพของผู้ตายไว้ในที่ที่เหมาะสมตามตำรา พลังชีวิตของผู้ตาย จะมีการรวมตัวและมีพลังส่งเสริมทายาทที่ยังมีชีวิตให้ได้ลาภยศสรรเสริญ เจริญก้าวหน้า

สถานที่ฝัง..ต้องไม่ใกล้ธารน้ำธรรมชาติ หรือมีน้ำท่วมขัง จะต้องจ้างหมอดูฮวงจุ้ยให้มาช่วยเลือกสรรทำเลที่ฝังศพ

ครอบครัวที่จะทำการเช่นนี้ได้…ต้องเป็นคนมั่งมีเท่านั้น คนส่วนมากที่เป็นชาวนายากจนก็จะไปรวมฝังอยู่ที่สุสานสาธารณะของหมู่บ้านหรือวงศ์ตระกูลใหญ่

ชาวจีนบางส่วน…ลูกหลานจะจัดการศพด้วยวิธี “การเผา” ที่สะดวกกว่า ทั้งไม่มีภาระต้องไปจัดหาที่ฝังศพ

ขอกล่าวถึงเรื่องจริง (แบบย่อๆ) ประเด็น “การจัดการศพ” ในประวัติศาสตร์ไทยนะครับ….

การจัดการศพในประเทศไทย มี 2 แบบ คือ นำไปฝัง และ เผา

(ยังมีวิธีการจัดการศพอีก 1 แบบ คือ ขอบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อให้นำร่างไปให้ น.ศ. แพทย์ ได้ศึกษาหาความรู้ ท้ายสุดก็จะนำร่างไปทำบุญและเผา….สาธุครับ)

เรื่องเตาเผาศพในไทย..จะมีประวัติอย่างไร ไม่มีการบันทึกชัดเจน คนไทยที่มีช่วงอายุต่างกันมาก ย่อมประสบพบเจอมาต่างกัน

ราว 50 ปีที่แล้ว ในต่างจังหวัด …วัดในชุมชนที่ห่างไกล การนำร่างห่อผ้า มาวางบนกองฟืนแล้วเผากลางแจ้ง เห็นกันชัดๆ ..มิใช่เรื่องแปลก

(อดีตนายทหาร เพื่อนผู้เขียน ที่อยู่ภาคเหนือ บอกว่า… เมรุเผาศพในภาคเหนือ มิได้อยู่รวมในพื้นที่วัด…จะแยกออกมาต่างหาก)

เท่าที่รวบรวมข้อมูลมาได้ …เตาเผาศพ มีเชื้อเพลิง 3 ชนิด คือ น้ำมัน ก๊าซ และไฟฟ้า

เมื่อก่อนประชากรน้อย นานๆ เผาที ก็ไม่มีอะไรต้องพิถีพิถัน …เมื่อคนมากขึ้น มีวัสดุที่มิได้มาจากธรรมชาติใส่ไปในเตา

“ควันดำ” ที่พุ่งออกไปทางปล่องขณะการเผาไหม้ ลอยขึ้นฟ้า …เริ่มส่งผลต่อสุขภาพต่อชุมชน

ข้อมูลทางวิชาการ จากการสัมมนา โดย ดร.นิคม ไวยรัชพานิช อดีตผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. และ ดร.จารุพงษ์ บุญหลง อดีตผู้ประสานงานโครงการสิ่งแวดล้อม ของ UN ในไทย ระบุว่า….

…..“สารพิษตัวสำคัญที่มีผลร้ายแรงต่อร่างกาย อันเนื่องมาจากการเผาศพว่า ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “ไดออกซิน/ฟิวแรนส์” (Dioxins / Furans) ซึ่งเป็นสารเคมีอันเป็นผลผลิตที่ไม่ได้ตั้งใจ (Unintentional Product) ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ (ในช่วงอุณหภูมิ 200-650 องศาเซลเซียส)…..

…..“วัสดุอื่นๆ ที่ถูกส่งเข้าไปยังเตาเผา เช่น อุปกรณ์ตกแต่งโลงศพที่เป็นวัสดุพลาสติก พวงหรีด กระดาษเงินกระดาษทอง เทพพนม หรือพลาสติกที่ห่อศพติดเชื้อจากโรงพยาบาล อย่างศพผู้ป่วยเอดส์ ก็จะส่งเข้าเตาเผาทั้งพลาสติกแบบนั้นเลย… ไดออกซิน/ฟิวแรนส์จะเกิดขึ้นจากการเผาของดังกล่าว โดยการเผาจะเป็นการเผาที่ไม่สมบูรณ์ในช่วงอุณหภูมิ 200-650 องศาเซลเซียส….”

….“…กระบวนการเผาศพอย่างถูกวิธีนั้น…จะสามารถกำจัดสารพิษตัวร้ายนี้ไปได้ จำเป็นจะต้องใช้ความร้อนในการเผาสูงกว่า 850 องศาเซลเซียส และในเตาเผาจะต้องมีการออกระบบการหมุนเวียนอากาศอย่างเป็นระบบมาตรฐาน ต้องมีอุปกรณ์การดูดซับไดออกซิน/ฟิวแรนส์ติดตั้งอยู่ในเตาเผาด้วย…”

นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว …ที่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจนัก

แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ คือ ควันที่ออกมาจากการเผาแล้ว…ยังจะต้องเอาควันนั้น “มาเผาอีกครั้ง” เป็น 2 ขั้นตอน….

อุณหภูมิที่ใช้ในเตาเผา…ต้องมากว่า 850 องศาเซลเซียส

ผู้เขียนเอง…ไม่ขอไปก้าวล่วง สอดรู้ สอดเห็น วัดไหน ทำแค่ไหน อย่างไร หากแต่พอจะอนุมานได้ว่า …เตาที่ถูกต้องตามหลักการ ได้มาตรฐาน จะต้องมีราคาสูงแน่นอน

ใน กทม. และชุมชนเมืองขนาดใหญ่ในต่างจังหวัด…“วัดที่เผาศพ” กับที่พักอาศัย โรงเรียน ชุมชน ก็แนบแน่น ใกล้ชิดสนิทสนมกันดี

ช่วงโควิด-19 ที่การเผาศพแบบแทบไม่ได้หยุด (ในบางวัด) และสัปเหร่อ กล้าเผยความในใจ ทั้งทางโลกและทางธรรม น่าจะทำให้สังคมไทยหันมาใส่ใจกับ “อันตรายใกล้ตัว” และ “คุณภาพชีวิตของสัปเหร่อ”

ผู้เขียนไปค้นหา…พบหลักการของ กรมควบคุมมลพิษ ที่ขอนำมาสรุปแบบย่อๆ นะครับ

มาตรฐานเตาเผาศพของในประเทศไทย เป็น 4 ระดับ

“เตาเผาศพ 4.0” เป็นเตาเผาศพที่มีห้องเผาอย่างน้อย 2 ห้องเผา โดยห้องเผาแรกเป็นห้องเผาศพ และห้องเผาสุดท้ายเป็นห้องเผาก๊าซและควันที่เกิดจากห้องเผาแรกก่อนระบายอากาศเสียสู่บรรยากาศ

ใช้น้ำมันดีเซลหรือก๊าซเป็นเชื้อเพลิง หรือเป็นเตาที่ใช้ไฟฟ้าในการเผาไหม้ มีการควบคุมอุณหภูมิและระยะเวลาในการเผาควันและก๊าซตลอดจนการเผาศพ มีระบบควบคุมและบันทึกข้อมูลการทำงานของเตาเผาศพอัตโนมัติ มีระบบควบคุมมลพิษทางอากาศอื่นๆ มีประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษในระดับดีเยี่ยม

เหมาะสำหรับวัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมือง ที่มีการอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น.. ถือเป็นมาตรฐานสูงสุด….

ข้อมูลล่าสุดพบว่าใน กทม.มีวัดจำนวน 456 วัด โดยเป็นวัดที่มีเตาเผาศพจำนวน 310 วัด ทั้งหมดยังเป็นเตาเผาศพในระดับ 3.0

(ระดับ 3.0 เป็นเตาเผาศพชนิด 2 ห้องเผา โดยห้องเผาแรกเป็นห้องเผาศพ และห้องเผาที่ 2 เป็นห้องเผาก๊าซและควันที่เกิดจากห้องเผาแรกก่อนระบายอากาศเสียสู่บรรยากาศ ..เหมาะสำหรับวัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมือง ที่มีการอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่น)

คนไทยใจดี ชอบทำบุญ-ทาน ชอบสร้างโบสถ์ ศาลาปฏิบัติธรรม ทอดกฐิน ทุ่มเทสร้าง “พระ” หลายแบบ…เพื่อแข่งกันให้ “ใหญ่ที่สุดในโลก” ได้โปรดลองปรับแนวคิดให้เกิดรูปธรรมต่อสังคม

บุคคลระดับสูงของไทยที่ขวนขวาย วิ่งเต้น ขอไปเรียน อบรมกันในหลักสูตรต่างๆ ในหลายสถาบัน ล้วนแต่เป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ มีอันจะกิน มีหน้ามีตา มีเงินถุง เงินถัง…คนพวกนี้เข้าไปร่วมกันสร้างเครือข่าย (connection) เพื่ออนาคตที่ดี… มีเงินรุ่นเยอะ

ขอเรียกร้องให้พวกท่าน….ลองปรับแนวคิด หันมาบริจาค ช่วยปรับ ยกระดับ สร้างเตาเผาศพ.. ในแบบมาตรฐานให้สังคมไทย

วัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง 2-3 วัด เป็นวัดยอดนิยมใน กทม. และมีรายได้สูงสุดจากการสวด และเผาศพ (หลักแสนบาท) เชื่อว่า..ได้ใช้เตาแบบมาตรฐานสูงสุดแล้ว เพราะวัดอยู่กลางเมืองที่หนาแน่น

ขอสังคมไทย…ช่วยสนับสนุน ดูแลวัดที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงที่ทำงานจริงให้คนตาย… รวมทั้งช่วยดูแลคุณภาพชีวิตของ “สัปเหร่อ” ….

ศึกครั้งนี้..ใหญ่หลวงนัก…หนทางยังอีกยาวไกล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image