ต้นไม้ลืมดิน ปักษิณลืมไพร

ต้นไม้ลืมดิน ปักษิณลืมไพร

ต้นไม้ลืมดิน ปักษิณลืมไพร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะมั่นคงดำรงต่อไปได้ หรือจะเสื่อมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่อยู่ที่พุทธบริษัทสี่ คือ “ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา” ไม่ใช่ใครผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ทุกคนต้องร่วมกัน ถ้าจะเปรียบในบริษัททั้ง 4 ก็เปรียบเสมือนรถ รถนั้นจะยี่ห้ออะไร ดีเพียงใด แต่ถ้าล้อทั้งสี่ไม่ครบก็ไปยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะให้บรรทุกได้ วิ่งได้ ขับเคลื่อนไปได้ดี ต้องมีให้ครบทั้งสี่ล้อ ขาดล้อใดล้อหนึ่งไม่ได้

เหตุนี้จึงจำเป็นต้องช่วยกัน สำหรับคณะสงฆ์อย่างเดียวไปไม่รอดต้องช่วยกัน ดังที่ทุกๆ ท่านดำเนินการช่วยกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่า “เรา” จะไปทำบุญที่วัด ที่บ้าน ที่ทำงาน ได้อาราธนาพระมาโปรดเป็นระยะ ที่ใดที่หนึ่ง พิธีกรรมต่างๆ จะมีครบเครื่องพระรัตนตรัย พระพุทธก็อยู่ที่นี่ พระธรรมก็อยู่ที่นี่ พระสงฆ์ก็มาโปรดที่นี่ เพราะฉะนั้นก็ถือว่าบริบูรณ์ทุกประการ ขออนุโมทนาบุญกุศลที่เกิดขึ้น ญาติ โยม มิตรสหายทั้งหลายสิ่งที่ท่านได้มาร่วมบำเพ็ญกุศลนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิต “ของเรา” มีสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วย “3อ” คือ 1.อบรม 2.อบอุ่น 3.อบอวล

อบรม : ให้ความรู้ด้วยอาราธนาพระเจ้าพระสงฆ์มาแสดงธรรม อบอุ่น : มาร่วมกันทำบุญกุศลอยู่ด้วยกัน “ความรัก” ดั่งญาติมิตรเป็นครอบครัว มีแต่ความเป็นพี่เป็นน้อง รักกันดีกันเหมือนพี่ๆ น้องๆ ปรองดองกันเสมือนญาติ ผิดพลาดให้อภัยกันและกัน แล้วจะอยู่รอดปลอดภัยอยู่เย็นเป็นสุข อบอวล : ด้วยเกียรติคุณชื่อเสียงแต่ละคน ยกย่องให้เกียรติไม่เหยียดหยาม เหยียบย่ำทำลายกันไม่ดี มีแต่มิตรภาพ อบอวลด้วยกัลยาณมิตร บุญกุศลคุณงามความดีที่ทุกคนได้มาร่วมบำเพ็ญให้เป็นไป มีไว้อุ่นใจทุกเมื่อดั่งคำที่ว่า มีบุญแล้วไม่กลัวตกนรก ไปสวรรค์ไปนิพพานสถานเดียว มีทรัพย์ไว้ ได้ช่วย เมื่อป่วยไข้ มีมิตรไว้ ได้ช่วยเหลือ เมื่อขัดสน มีลูกหลาน ครั้นชรา ช่วยพยุงบำรุงตน มีบุญกุศล ช่วยขจัด นรกภัย

Advertisement

คนเราชาวพุทธ “บุญต้องมีบารมีต้องสร้าง” ในฐานะเราเป็นชาวไทยชาวพุทธ ยากดีมีจน มีฐานันดรศักดิ์ “บุญเราต้องมี? บารมีเราต้องสร้าง?” ทำได้อย่างไร?

1.บุญต้องมี รู้จักบุญคุณ คนดีรู้คุณ คนดีไม่ลบหลู่คน บุญคุณ หมายความว่า ใครมีอุปการะได้เอื้อเฟื้อเกื้อหนุนเจือจุนชีวิตเรามา จะมากน้อย ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีบุญคุณแก่เรา เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ผู้บังคับบัญชา พระราชามหากษัตริย์ มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ในฐานะเป็นบุพการี โดยเฉพาะเอาใกล้ตัวที่สุด นั่งอยู่ในหัวใจเราที่สุด คือ พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ มีพระคุณสุดจะพรรณนา ความกตัญญูเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นคนดี คนดีมีปกติรู้คุณคนไม่ดีมีปกติลบหลู่คุณ เพราะฉะนั้น คนดีต้องรู้คุณ คำว่า “รู้คุณ” ก็คือธรรมะข้อที่ว่าด้วย “กตัญญู” ธรรมะเป็นพื้นฐานเป็นเครื่องหมายเป็นยี่ห้อ และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นคนดี

ความกตัญญู คืออะไร : ความระลึก ความนึกถึงคุณหรือความดีของบุคคลนั้นๆ ที่ดีแก่ตน นึกอย่างไรจึงจะเป็นกตัญญู? (อันนี้ไม่มีในตำรา) วิสัชนาว่า ต้องนึกให้ได้ คือ 1) นึกถึง “ความรักความเมตตา” ที่ท่านเคยมี 2) นึกดี “คุณความดี” ที่ท่านได้เคยกระทำ 3) นึกถึง “คุณธรรม” ที่ท่านได้บำเพ็ญ 4) นึกถึง “ความร่มเย็น” ที่ท่านประทานให้เรา นึกได้อย่างนี้จัดว่าเป็น “กตัญญู” ดังคำโคลงสี่ว่า…

Advertisement

กตัญญู รู้คุณท่าน สำคัญนัก นี้เป็นหลัก คนดี มีครบถ้วน ตอบแทนท่าน ให้งาน ตามสมควร คนดีล้วน ใจมั่น กตัญญู

ฝากไว้ว่า พ่อแม่ ต้องกตัญญู คุณครู ต้องหมั่นเคารพ เพื่อนดี ต้องหมั่นคบ แล้วจะพบ ความก้าวหน้า ขอเพิ่มเติมว่า ใครที่มีคุณ ใครที่ให้คุณเรา จะเป็นใครก็ตาม เราต้องกตัญญูทั้งนั้น นี่เรื่อง
บุญคุณที่ต้องจดจำ

2.บุญกุศล : ทางแห่งความดี บุญที่สองนี้สำคัญยิ่ง “บุญกุศล” ในทางพุทธศาสนา ถือว่าเป็นทางแห่งความดี อะไรบ้าง คือ ทางแห่งความดี ที่พวกเราทั้งหลายกระทำง่ายๆ ประจำอยู่ คือ “ทาน ศีล ภาวนา” นี่คือ ทางแห่งความดี

ทาน : ทำไมท่านจึงเอาทานไปไว้ข้อต้น? ด้วยเหตุผลที่ถือว่า โลกและสังคมจะอยู่รอดไม่รอดก็เพราะ “ทาน” ไม่มีทานอยู่ไม่ได้ ทาน แปลว่า การให้การสละการแบ่งปัน สำคัญอย่างไร? 1) ทานเป็นทางแห่งความดี 2) ทานเป็นกุญแจแห่งไมตรี 3) ทานเป็นบารมีของหลักบริหาร 4) ทานเป็นบันไดไต่ไปสวรรค์ 5) ทานเป็นสะพานข้ามโอฆสงสาร

พระพุทธเจ้าทุกภพชาติมีแต่ “ให้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะเป็นพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็น “พระเวสสันดร” ทรงเป็นยอดนักเสียสละของโลก ทรงสละทุกอย่างที่ผู้ขอ ให้ทุกอย่างที่มีผู้ปรารถนา ให้ทั้งหมดทานภายนอกและให้ทานภายใน

อยู่ด้วยการให้ พ่อแม่ไม่ให้ลูก ลูกจะอยู่รอดได้อย่างไร? ครูอาจารย์ไม่ให้ศิษย์ ศิษย์จะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร? ผู้ใหญ่ไม่ให้ผู้น้อย ผู้บังคับบัญชาไม่ให้ผู้น้อย พระราชาไม่ให้แก่พสกนิกร อยู่ไม่ได้ทั้งนั้น อย่าลืมว่า โลกอยู่ได้ด้วยการให้ “การให้” คือ หัวใจของการอยู่ร่วมกัน

เกิดมาให้ : การที่เรานึกถึงกัน รักใคร่กัน จดจารึกคุณของกันและกันไว้ก็เพราะ “การให้” แต่ถ้าเกิดมามุ่งเอาแต่กอบโกยโกงกินทุจริต คอร์รัปชั่นสถานเดียว ไม่มีใครอยากจำ ที่ถูกจำตลอดชีวิตตายยังสร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้กราบไหว้บูชาถึงทุกวันนี้ เพราะเกิดมา “ให้”

ทานเป็นบารมีของนักบริหาร : นักบริหาร นักปกครอง ผู้รับผิดชอบของสถาบัน องค์กร ประเทศชาติ จะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวไม่ได้ต้องเป็น “นักให้” เสียสละ จึงจะสามารถครองงาน ครองคน และครองใจคนทั้งหลายได้ ดังคำที่ว่า บริวารมาเพราะน้ำใจมี บริวารหนีเพราะน้ำใจลด บริวารหมดเพราะน้ำใจแห้ง ผู้ใหญ่แล้งน้ำใจ ผู้น้อยไม่มีใครจะอยู่ด้วย ต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขา ผลดกรสดีเท่านั้น หมู่วิหคนกกาจึงจะอยู่ด้วย นี้ก็เหมือนสังคม ประเทศชาติหน่วยงานตลอดถึงครอบครัว ถ้าไม่มีการให้ ก็ไปไม่รอด

ทานเป็นบันไดไต่ไปสวรรค์ : ทางแห่งความดี “ทาน ศีล ภาวนา” บำเพ็ญกันเป็นประจำ ทานเป็นขั้นแรก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ทานํ อคฺคสงฺคโส ปานํ” ทานเป็นบันไดไต่ไปสวรรค์ ทานเป็นสะพานข้ามโอฆสงสาร : โอฆะ แปลว่า ห้องน้ำ โอฆะนี้แหละทำให้เราเวียนไหว้ตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร อันได้แก่ กิเลส กรรม วิบาก

เวลาเราไปงานศพ ก่อนจะนำศพขึ้นเมรุ เจ้าหน้าที่จะต้องนำเวียนซ้าย (ถ้าเวียนขวา เรียกว่า ทักษิณาวรรต เวียนเพื่อบูชา เช่น เวียนเทียน) และมีราชรถพิเศษเชิญ หัวพญานาค พวงมาลัยท้าย มีออปชั่นพิเศษ ด้ายสายสิญจน์หนึ่งม้วน พระนำหน้าองค์ ที่เวียนสามรอบจริงๆ เขามีคติสอนใจบอกให้รู้สังสารวัฏหรือวงจรของชีวิต กล่าวคือ รอบแรก กิเลสวัฏฏะ รอบสอง กรรมวัฏฏะ รอบสาม วิบากวัฏฏะ กิเลส กรรม วิบาก เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ แต่ถ้ามี “ทาน” แล้วทำให้ท้นจาก “โอฆสงสาร” ได้

อานุภาพของทาน : อานุภาพของ “ทาน” ทำให้โลกทำให้สังคมอยู่ได้ดังประเทศเฮติ ถ้าโลกไม่ช่วยกัน เขาก็ตายแบบไม่มีใครเยื่อใย เจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป นี่วิญญาณพระบรมโพธิสัตว์โดยแท้ การช่วยเหลือคนเจ็บไข้ตกทุกข์ได้ยาก ประสบภัยไม่ว่าจะเป็นอัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย เกิดข้าวยากหมากแพง หรือแม้แต่การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกระบาดป่วยตายกันเป็นล้านๆ ยากจนกันถ้วนมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย ก็มีการให้ “ทาน” กันและกันมามากมายจากบุคคลทั้งระดับประเทศ

เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน WHO ก็มีให้บริจาค “วัคซีน โควิด-19” กับประเทศที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ วัคซีนเป็นการให้เปล่า

3.บุญบารมี บุญที่สามนี้เป็นสิ่งไม่มีขาย ใครอยากได้ต้องทำเองๆ เหมือนทานข้าว ทานแทน อิ่มแทนไม่ได้ พูดได้แต่ทำไม่ได้ “บารมี” ก็เช่นเดียวกัน
บุญเต็มที่ บารมีเต็มเปี่ยม : คำว่า “บารมี” แปลว่า ยังให้เต็มหรือยังให้ถึงฝั่งบารมีที่บำเพ็ญมา ถ้าบำเพ็ญมาน้อยมันก็ไม่เต็ม ถ้าบำเพ็ญมามาก จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้ายที่จะสำเร็จความปรารถนาทุกประการ เขาเรียกว่า “บารมีเต็มเปี่ยม” จึงมีคำว่า “บุญเต็มที่ บารมีเต็มเปี่ยม” ปรารถนาอะไรจะสำเร็จหมด แต่ถ้าบุญไม่เต็มที่บารมีไม่เต็ม วิ่งให้ตาย ขาแข้งหัก คอหัก ไม่ได้ แต่ถ้าบุญเต็มที่ บารมีเต็มเปี่ยม ไม่ต้องอิ่มอยู่เฉยๆ ทุกอย่างมาเอง แต่บารมีต้องเต็ม

เพราะฉะนั้น ความดีที่บำเพ็ญมาโดยลำดับ แต่อดีตถึงปัจจุบันเรียกว่า บุญ เรียกว่า บารมี เขาเป็นคนมีบุญ และเป็นคนมีบารมี เพียงแต่นึกอะไรก็ได้ จะพูดอะไรก็สำเร็จ บุญนำพา วาสนานำส่ง : บุญบารมี เรียกอีกอย่างว่า “บุญวาสนา” ที่นี้คนที่มีทั้งบุญเก่า ทั้งบุญใหม่ บุญในอดีต หรือบุญเก่า เรียกว่า “บุพเพกตปุญญตา” บุญเก่ากุศลก่อนส่งให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดในตระกูลที่พ่อแม่มีสัมมาทิฏฐิ มีสติปัญญาดี รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณดี ได้ทำงานดี อยู่ในสถานที่ดี บุญทั้งนั้น บุญนำพาวาสนาส่ง เวลาที่มาเจอคนดี หรือได้คู่สามีภรรยาดี อ๋อ เขาเคยทำบุญมาตั้งแต่ชาติปางก่อนนี่แหละคือ “บุพเพกตปุญญาตา”

กินบุญเก่า : บางท่านมีบุญดีมาแต่เดิม แต่ไม่ต่อเติมบุญใหม่ เรียกว่า “กินบุญเก่า” ใช้แต่ต้นทุนเดิมที่มีมาแต่ก่อน ไม่หาใหม่เพิ่มเติม ก็เหมือนทรัพย์ย่อมหมดได้ เหมือนเขื่อนน้ำไม่มีน้ำต้นทุนไหลลงอ่างน้ำไหลเกือบก็เหือดแห้ง

ชีวิตจะมีค่ามีความหมายอยู่ที่ได้บำเพ็ญประโยชน์: เพราะฉะนั้นคนเราทุกคนจะต้องมีบุญในปัจจุบันพูนเพิ่มต่อไปด้วย บุญเดิมทำให้เสวยสุขในปัจจุบัน แต่บุญในปัจจุบันส่งให้เราสุขในภายหน้า บุญในปัจจุบัน เรียกว่า “อัตถจริยา” กับ “อัตตะ
สัมมาปณิธิ”

อัตถจริยา : คืออะไร คือการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ ชีวิตเราจะมีค่า มีความหมายอยู่ที่ทำตนให้เป็นประโยชน์ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ทาน อัตตะสัมมาปณิธิ : การดำรงตนไว้ในฐานะที่ชอบ ภาวะที่ชอบในศีล ในธรรม ในความดีงาม จะได้รับความยกย่อง นำไปประดับตระกูล หน่วยงาน หรือหมู่คณะ เหมือน “เพชร” อันมีค่า

สิ่งที่มนุษย์แสวงหา : เราแสวงหาไขว่คว้าเกิดมาแล้วอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็นอะไรที่ทุกคนแสวงหาไขว่คว้ากันเริ่มต้นที่ สูติบัตร ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตร (ตรี โท เอก) ต่อไปรับราชการอยากได้ “สัญญาบัตร” แล้วอยากได้ “ธนบัตร” แล้วอยากได้เพิ่ม คือ การยอมรับยกย่องของสังคม “เกียรติคุณเกียรติบัตร” มีอย่างเดียวที่ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องซื้อ ได้เองแน่นอน คือ “ใบมรณบัตร” ของแท้แน่นอนไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้า

วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ที่นี้เราจะได้แต่ละอย่างที่กล่าวมานั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่” เรื่องนี้พูดย้ำอีกครั้งว่า

อย่าปล่อยให้ วันเวลา คร่าชีวิต โดยไม่คิด ทำสิ่งใด ให้เพิ่มพูน สร้างความดี ทวีไว้ ใฝ่ต่อเติม ชื่ออย่าเสริม สร้างเลย เสวยกรรม ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน นั้นอย่าพลาด พระจอมปราชญ์ ทรงเตือนไว้ เป็นปัจฉิม โอวาท ประกาศธรรม ให้ราคา จดจำ ก่อนนิพพาน

ท้ายสุด ชีวิตวาสนาที่สำคัญที่สุด เกิดมาทั้งทีต้องระลึกเสมอคือ “บุญคุณ” : รู้จักบุญคุณ คนดีรู้คุณ คนไม่ดีหลบผู้คน เพราะฉะนั้น ใครลืมก็เสียคน ใครอกตัญญูก็เสียคน ระวังอย่าให้โลกประมาณว่า “ท่านพระยาลืมกัน ต้นไม้ลืมดิน ปักษิณลืมไพร” ไงเล่าครับ

นพ.วิชัย เทียนถาวร

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image