การประชุมรัฐสภาสมัยการประชุมนี้ จะเปิดประชุมอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ภายหลังจากการประชุมรัฐสภาต้องชะงักเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด มีผู้ติดเชื้อมาก จนรัฐบาลต้องประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวบางพื้นที่ แต่เมื่อรัฐสภากลับมาประชุมได้อีกครั้ง กระบวนการทางนิติบัญญัติก็จะเริ่มต้นอีกหน รวมทั้งกระบวนการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย
ทั้งนี้ นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 11 สิงหาคม มีการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อเคาะชื่อตัวบุคคลที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ รวมถึงการกำหนดกรอบและเนื้อหาทุกอย่างให้จบ แล้ววันที่ 13 สิงหาคม จะให้รายละเอียดกับสื่อมวลชน จากนั้นวันที่ 16 สิงหาคม จะยื่นต่อประธานสภา ตอนนี้มีความชัดเจนประมาณ 90% โดยจำนวนคนที่จะถูกอภิปรายมีประมาณ 5 บวกลบ 2
ขณะที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่เริ่มต้นแต่ดูเหมือนเหตุการณ์และปรากฏการณ์หลากหลายอย่างที่เพิ่งผ่านมา ตอกย้ำว่าสังคมไทยเริ่มไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดิน ความรู้สึกหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจดังกล่าวนำไปสู่ความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล และความไม่เชื่อมั่นดังกล่าวนำไปสู่ปัญหาที่พร้อมจะเกิดขึ้นทุกขั้นตอน ยกตัวอย่างเช่น หลังจากรัฐบาลไม่สามารถจัดหาวัคซีนมาฉีดคนไทยได้ตามที่เคยคาดการณ์ ประชาชนแต่ละกลุ่มก็เริ่มออกมาเรียกร้อง ไม่เชื่อคำชี้แจง และยืนยันที่จะเห็นผลเป็นรูปธรรมไม่ใช่แค่พูด
เมื่อสังคมไม่ไว้วางใจ ทุกขั้นตอนการบริหารงานจึงเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการผลิตยา หรือจัดหาเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของวัคซีน ยา และเวชภัณฑ์ โดยล่าสุด แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลต่างๆ ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ไม่เพียงพอได้ออกมาบอกต่อสังคม ปัญหาดังกล่าวยิ่งทำให้สังคมไม่เชื่อมั่นรวมทั้งกรณีพรรคฝ่ายค้านได้เปิดเผยเอกสารร่าง พ.ร.ก.คุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์ โดยระบุว่าจะคุ้มครองถึงฝ่ายนโยบายด้วย สังคมก็เกิดความหวาดระแวงว่า รัฐบาลจะออกกฎหมายมาคุ้มครองตัวเองหรือไม่
สภาพการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏล้วนมีผลจากความไม่เชื่อมั่น ซึ่งหากรัฐบาลต้องการอยู่ต่อ ก็ต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่น เรียกศรัทธาและความไว้วางใจกลับคืนมา มิเช่นนั้นทุกจังหวะก้าวจะเกิดความหวาดระแวง ไม่ร่วมมือ และไม่เชื่อใจ ดังที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
