‘รักให้เป็น รักให้ถูก’

‘รักให้เป็น รักให้ถูก’

‘รักให้เป็น รักให้ถูก’

คนเราทุกคนที่เกิดมาจากท้องแม่มีความสมบูรณ์ทางกาย ครบ 32 เท่ากัน เว้นแต่จิตใจ อุปนิสัยด้วยทางพันธุกรรมและการอบรมกล่อมเกลาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ การเจริญเติบโตทางร่างกาย สรีรวิทยาเป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยปัจจัย 4 ที่เกี่ยวข้อง อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

แต่วุฒิภาวะทางสติปัญญา อารมณ์ ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่เอื้อแล้วท่านทั้งหลาย คนเราทุกคน ถ้ามีอะไรบริบูรณ์ได้ทุกสิ่งสรรพ ตามที่บิดามารดาผู้ให้กำเนิดปรารถนาก็จะสมบูรณ์แบบดังใจปรารถนาเป็นลูกที่ดี เป็นคนดีของประเทศชาติ แต่ถ้าขาดคุณธรรมเสียอย่างเดียว จบและอาจจบอย่างไม่สวย

ความรู้สูงส่งแต่คุณธรรมต่ำต้อยก็ลำบาก

Advertisement

เพราะฉะนั้นแม้จะเกิดในตระกูลสูงๆ แต่ประพฤติอย่างต่ำๆ ก็ไปไม่รอด คนมีเกียรติ มีทรัพย์ แต่ย่อยยับเพราะขาดศีลธรรมมีให้พบมีให้เห็น เกิดได้ทุกคน ทุกอาชีพ ทุกชาติ ทุกประเทศ มีให้เห็นทั่วโลก อาทิ เช่น

– นักการเมือง ขาดคุณธรรม คือ ความสุจริต ความยุติธรรม ชื่อเสียงก็เสียหาย ทรัพย์ที่หาได้มาก็ถูกยึด
– นักกีฬา ขาดศีลธรรม เช่น มีคู่ครอง แต่ไม่ยินดีในคู่ครองของตน ไปมีชู้ไปนอกใจ ครอบครัวก็ร้าวฉาน ชื่อเสียงก็ป่นปี้ มีคดีความ ถูกฟ้องหย่า ถูกเรียกค่าเสียหาย เช่น นักกอล์ฟชื่อดัง นักฟุตบอลชื่อดัง ไทเกอร์ วูดส์ ไปมีชู้ ปัญหาชีวิตเกิดขึ้นโด่งดัง ต้องมาสะดุดเรื่องขาดศีลธรรม ขาดคุณธรรมเท่านั้น ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายกี่พันล้าน เสียชื่อเสีย ถูกรังเกียจ เพื่อนฝูงก็ไม่ยินดี เป็นต้น
– ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ต้องเป็นผู้พิฆาตสันติสุข มีอยู่เป็นครั้งคราวที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยัดยาบ้าให้ประชาชนเพื่อหาความดีความชอบ โดยยัดยาบ้าให้ประชาชนร้อยเม็ด ถูกฟ้อง ถูกจับ ตัวเองกลายเป็นผู้ถูกจับบ้าง ถูกดำเนินคดี ชีวิตอับเฉาดับ ดาวร่วงจากบ่า

ที่ว่ามานี้เพราะเป็นชาวพุทธแต่ไม่ปฏิบัติตามพุทธโอวาท ถ้าปฏิบัติตามพุทธโอวาท ทุกท่านทุกคนไม่มีใครเสียชื่อเสียง เป็นบุคคลเขายกย่องให้เกียรติกราบไหว้เพราะอยู่ในศีลธรรม

Advertisement

ในทางตรงกันข้าม หากชาวพุทธดำเนินชีวิตมาทิศทางที่ถูกต้องไปผิดทิศผิดทางไม่ได้ เรือไปไม่ถูกทิศ ก็ไปสู่หาที่จอดไม่ได้ เดี๋ยวไปชนโขดหินหรือไปชนกับลำอื่นเครื่องบินไปถูกทิศ เดี๋ยวไปชนกลางอากาศ ก็มีปัญหา ทีนี้ทิศทางของชาวพุทธนั้น ข้อสำคัญไปให้ถูกทาง อย่าไปหลงทาง อย่าเป็นกระทงหลงทาง ต้องไปให้ถูกทาง โดยเฉพาะเรื่อง “ความรัก”

เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีจะมีวันสำคัญที่รู้จักกัน 2 วันคือ 14 กุมภาพันธ์ เป็น “วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก” และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็น “วันมาฆบูชา” ทั้งสองวันนี้ชื่อว่า “เป็นวันแห่งความรัก” เป็นวันแห่งความสดชื่น เบิกบานด้วยความรัก

แต่วันที่ 14 เป็นรักแบบวูบวาบ รักแบบไม่จีรังยั่งยืน รักแบบลิเกละคร คือ รักกันวันเดียว รักเฉพาะวันนี้ มีอะไรก็ทุ่มเทให้กัน ดอกไม้ดอกละพัน ดอกละห้าพันถึงหมื่นบาท มีบางร้านดอกพิเศษๆ เป็นหมื่นๆ มาจากต่างประเทศ แต่เพราะความรักทำให้เสียสละให้กันได้ เป็นรักวูบวาบรักกันวันเดียว พอวันรุ่งขึ้นก็ทะเลาะตบตีกัน

แต่ “วันมาฆบูชา” เป็นวันรักสากล เป็นวันสันติภาพ เป็นวันสันติสุข ทั้งสองวันนี้มีความหมายอย่างไร?

14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ “วันแห่งความรัก” ว่าด้วย “ความรัก” ประมวลเบื้องต้นจำง่ายๆ มี 3 แบบ กล่าวคือ 1.รักเมตตา 2.รักบูชา 3.รักเสน่หา

1.รักเมตตา : มุ่งความสุขแก่บุคคลที่ตนเข้าไปรัก รักแบบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่รักลูก ปู่ย่าตายายรักหลาน ครูอาจารย์รักศิษย์ รักชนิดนี้ยิ่งรักยิ่งเสียสละ ยิ่งรักยิ่งให้ เพราะมุ่งความสุขแก่บุคคลที่ตนเข้าไปรัก พ่อแม่รักลูกก็ปรารถนาให้ลูกมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามีอะไรก็ประดังประเดให้หมด ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ขออย่างเดียวขอให้ลูกเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เข้าลักษณะว่า อุ้มไม่หนัก เหนื่อยไม่พัก รักไม่ลวง ห่วงไม่เลิก เบิกไม่คิด ผิดไม่แค้น ตายแทนลูกได้ ยิ่งรักยิ่งให้ เพราะมุ่งหมายให้คนที่ตนเข้าไปรักมีความสุข นี่แหละคือ “รักเมตตา”

2.รักบูชา : รักออกจากความบริสุทธิ์และจริงใจ “ผู้น้อยรักผู้ใหญ่” เช่น ลูกรักพ่อแม่ หลานรักปู่ย่าตายาย ศิษย์รักครูอุปัชฌาย์อาจารย์อย่างนี้เป็นต้น ยิ่งรัก ยิ่งเทิดทูนบูชา คาราวะให้เกียรติไม่เหยียบย่ำ ไม่เหยียดหยาม ไม่ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ไม่ต่อหน้าแตงโม ลับหลังแตงเน่า เพราะ “ออกจากความบริสุทธิ์ใจและจริงใจ” นี่คารวะ ยกย่องรักบูชา

3.รักเสน่หา : รักนี้เจือด้วยกิเลสตัณหา เช่น ความรักของสามีภรรยา รักหนุ่มๆ สาวๆ ยิ่งรักก็ยิ่งต้องการไปขูดเอาความสุขจากผู้ที่ตนเข้าไปรัก รักชนิดนี้ให้อย่างแต่ต้องการอีกอย่าง เป็นรักเล่ห์เหลี่ยมหรือรักซ่อนเร้น เป็นรักมีเจือด้วยกิเลสตัณหา

แต่รักสองอย่างข้างต้นเป็นรักที่เจือด้วยคุณธรรมล้วนๆ อย่างแรก เมตตา อย่างที่สองกตัญญูบูชา แต่อย่างที่สามเจือด้วยกิเลสตัณหา รักอย่างนี้ยังเป็นอันตราย มีสมหวัง มีผิดหวัง มีหัวเราะมีร้องไห้ ผิดหวัง กินยาตาย ผูกคอตาย เพราะพิษของความรัก ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดๆ หน้ามืดมัว พ่อแม่ว่าไม่ได้ เตือนก็ไม่ฟัง สั่งก็ไม่เชื่อ ด่าก็ไม่ฟัง ซึ่งความรักอย่างนี้มักจะมีปัญหาแก่ตนและคนข้างเคียง

รักที่เป็นผลร้าย : คือ การให้ท้ายแก่คนที่รัก การมีความรักเช่นนี้น่าเป็นห่วง รักที่เป็นผลร้าย เช่น พ่อแม่รักลูก รักน่าตีแต่ถือหางทุกอย่าง ลูกจะทำอะไรพูดอะไร ลูกจะเอาอะไรตามใจทุกอย่าง พูดเป็นอยู่คำเดียว ฉันเลย “โอเค” อย่างนี้ลูกจะเข้ารกเข้าพง เสียผู้เสียคนกู่ไม่กลับ

เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่รักลูก ปู่ย่าตายายรักหลาน บางอย่างต้องหัดพูด ฉันเลยไม่ “โอเค” บ้างกระตุกเขาบ้าง ให้สติเขาบ้างอย่างนี้แหละ คือ ความรักที่ไม่เป็นผลร้าย

วันวาเลนไทน์ : เป็นวันที่วัยรุ่นและหนุ่มสาวเฝ้าฝันถึง แต่โบราณเดียวกันก็เป็นวันที่พ่อแม่สะพรึงกลัว กลัวอะไร? กลัวพฤติกรรมสิ่งที่จะมากับวันวาเลนไทน์ เพราะวันดังกล่าวมีกิจกรรม หนึ่ง มอบดอกไม้ให้กัน สอง ให้ของขวัญ สาม ชวนกันเข้าคลับเข้าบาร์ สี่ สารภาพรัก และห้า ชวนชักให้ไปเสียตัว นี่ย่อๆ นะ

วันนี้พ่อแม่สะพรึงกลัว มอบดอกไม้ให้ของขวัญไม่เป็นไร แต่พอถึงประเด็นที่สาม พ่อแม่กลัวการเข้าคลับเข้าบาร์ ไปสารภาพรัก และไปทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร ผลิตผลที่จะได้และไม่เป็นที่ปรารถนา คือมารหัวขน อันเกิดจากการชิงสุกก่อนห่าม แล้วเข้าตำรา “เพราะรักสนุกจึงต้องทุกข์ถนัด” จึงเป็นวันที่พ่อแม่สะพรึงกลัว “เสียลูกสาว เสียลูกชาย” ก่อนวัยอันควร

แต่บางท่านก็เอาวันแห่งความรักอันนี้เป็นจุดสตาร์ต เริ่มต้นชีวิตให้มีความมั่นคง “แต่งงาน” เดี๋ยวนี้แต่งกันทั้งบนบกและในน้ำ บางรายก็พิสดารว่ากันตามกระแส แต่งและจดทะเบียนกันในน้ำ วันนี้เป็นวันที่มีการจดทะเบียนสมรสกันมากที่สุด และเขตที่ชอบจัดทุกปีไม่มีใครลบสถิติได้คือ เขตบางรัก เพราะชื่อมันช่วยชื่อเป็นมงคล รองลงมาก็คือเขตบางซื่อ แต่ขณะเดียวกันก็ให้สงสารเขตบางพลัด บางจาก บางกระบือ

รักที่จีรังยั่งยืน : เพราะฉะนั้นจะรักกันให้จีรังยั่งยืนนั้น ต้องรักแบบวันมาฆบูชา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สอนไว้ว่า จะไปไหน จะอยู่กับใคร จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ไม่ปฏิบัติดังนี้ แล้วท่านจะรักกันยืดยั่งยืนยาวนาน เป็นวันรักสากล รักตลอดไป ไม่ใช่รักกันชั่วครู่ชั่วยาม

พระพุทธเจ้าตรัสสอนสาวกไว้ด้วยหลักการ 6 ประเด็น : อย่าโจมตี อย่าบีฑา ดำรงตนอยู่ในกฎกติกา ให้รู้จักประมาณตน ประมาณตัว ไม่เป็นคนเห็นแก่กิน ไม่เป็นคนเห็นแก่ตาม อย่าเป็นคนเห็นแก่นอน อยู่ที่ไหนรู้จักอยู่แบบสงบไม่ฟุ้งซ่าน อยู่กับใครก็อยู่ร่วมกันฉันมิตร รู้จักควบคุมจิตใจให้สงบ ระงับจากกิเลสนิวรณ์ทั้งหลายทั้งปวง รักษาจิตใจให้ดี ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ความมัวหมองจะหมดไป มองโลกในแง่ดี อย่ามองโลกแง่ร้าย อย่าจ้องจับผิด อย่าริษยา อย่ามานะทิฐิ อย่าอคติต่อกัน แล้วท่านจะมีความสุข หยุดโจมตีกันด้วยปาก หยุดถากถางกันด้วยสายตา นี่แหละสังคมประเทศชาติจะไม่มีปัญหา

โดยสรุป 1) รวม “พลัง” สร้าง “ศีล” ด้วยตัวเรานำ “สุข” มาให้ ครอบครัวดังคำโคลงที่ว่าศีลธรรม นำสุข ทุกสมัย เราเป็นไย เพราะมีธรรม ประจำชาติ หากไร้ศีล สิ้นธรรม ด่ำอำนาจ ประเทศชาติ จะอยู่ได้ อย่างไรกัน 2) รักให้ถูก รักให้เป็น ต้องเป็นรักแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสในวันมาฆบูชา คือ รักพ่อแม่ ให้กตัญญู รักครู ให้พากเพียร รักเพื่อน ให้น้ำใจ รักชาติไทย ให้สามัคคี รักในหลวงพระราชินี ให้จงรักภักดี รักเป็นคนดี ให้มีศีลมีธรรม

ในสถานการณ์โควิด ฝากความรักไปถึงผองเพื่อนและมวลมิตร ผู้อ่านมติชนด้วยความปรารถนาดี 5 ประการ เพื่อให้ท่านปลอดโรค ปลอดภัย จากโควิด-19 คือ

– เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ตัวเราเองให้ครบ อย่าลืม “3อ” ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อารมณ์ดี 3ลด : ลดอ้วน ลดละเหล้า ลดละบุหรี่
– ใส่ Mask 100% ทุกที่ทุกเวลา
– กินร้อนช้อนส่วนตัว อาหารจานเดียว แยกกันทาน
– ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล
– สังเกตตัวเอง ถ้ามีอาการไข้หวัด ไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา หายใจขัด รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ หรือหากมีกำลังสามารถซื้อชุดตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง

ถ้าติดเชื้อก็เข้าระบบการรักษาตัว ขอให้มี “จิตดีสติดี” คือ รักตัวเอง ไม่ประมาท เป็นวัคซีนชีวิตที่ดีป้องกันโควิดได้ด้วย ไงเล่าครับ

นพ.วิชัย เทียนถาวร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image