ผู้เขียน | จันทร์รอน |
---|
คล้ายกับว่าโลกกำลังเคลื่อนไปท่ามกลางแรงเสียดทานของการอยู่ร่วมกัน
คล้ายกับว่าเป็นยุคสมัยที่พลังของการทำลายล้าง มีบทบาทครอบครองความเป็นไปของโลก มากกว่าพลังสร้างสรรค์ที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
มีปรากฏการณ์มากมายที่สะท้อนเช่นนั้น
สงครามระหว่างประชาชนในประเทศต่างๆ ที่มีมหาอำนาจแทรกแซง สงครามเศรษฐกิจบีบบังคับวิถีชีวิตมนุษย์ให้ต้องเลือกยืนอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง การแสวงหาเพื่อสะสมโดยเห็นการกดผู้มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าไว้ในสภาพที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม กับสิ่งมีชีวิตอื่น ตั้งแต่สิ่งที่มนุษย์เรียกว่าเชื้อโรค จนถึงที่เรียกว่าสัตว์ต่างๆ
เป็นปรากฏการณ์ที่คล้ายๆ จะสะท้อนว่าสิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้เข้าสู่สภาวะมีปัญหาการอยู่ร่วมกัน
และนั่นหมายถึงแนวโน้มจะเป็นไปได้ 2 ทาง
หนึ่ง ไล่ล้าง รีเซตโลกกันใหม่ ให้เหลือเฉพาะที่เข้มแข็งกว่า ในความหมายคือถูกทำลายได้ยากกว่า เป็นพวก เป็นฝ่ายเดียวกัน หรือเป็นฝ่ายที่ไม่เป็นภัยอย่างชัดแจ้งกับผู้ที่เข้มแข็งกว่า
ในหนทางนี้ความสูญเสียจะเกิดขึ้นอย่างวินาศสันตะโร เพราะไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่จะไม่วิวัฒนาการตัวเองเพื่อให้แข็งแกร่งพอเอาตัวรอด หรือให้ทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้ามเพื่อปกป้องตัวเองได้
ในหนทางนี้ยากจะประเมินว่าใครจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
ที่คิดว่าฉลาดกว่า มีอุปกรณ์ เครื่องไม้ เครื่องมือ เทคโนโลยี หรือกระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่า มีระบบการบริหารจัดการที่ดีกว่า สร้างจากประสบการณ์ที่ยาวนานอย่างหลักแหลมกว่า แล้วจะเหนือกว่านั้น
บางทีอาจจะคิดผิด
เพราะเอาเข้าจริงเกิดปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้รับรู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า “ไวรัสโคโรนา 2019” หรือที่เรียกกว่า “โควิด-19” นั้น เรียบง่ายอย่างยิ่ง
“โควิด-19” นั้นจะเรียกว่า “สิ่งมีชีวิต” ยังเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะส่วนประกอบมีไม่ถึงที่เรียกว่า “สัตว์เซลล์เดียว” ด้วยซ้ำ เพราะ “โควิด-19” เป็นแค่เส้นใยเมือกโปรตีนที่มีสารพันธุกรรมอย่างหนึ่งอยู่ในนั้น ไม่มีองค์ประกอบครบตามสิ่งที่มีชีวิตควรมี
มีเท่าที่สามารถขยายพันธุ์ได้ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
และเมื่อสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขยายพันธุ์ของโควิด-19 เป็นทางเดินหายในของมนุษย์ โดยมีฟองอากาศในปอดมนุษย์เป็นสภาวะสุดยอดที่จะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และกลายพันธุ์เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
เมือกโปรตีนนั้นกลับทำลายล้างมนุษย์ที่ได้ชื่อว่ามีมันสมองสุดยอด มีสิ่งประดิษฐ์สารพัด เพื่อสร้างพลังอำนาจล้นหลาม
จนป่านนี้ยังหาทางทำลายล้างเมือกโปรตีนที่เรียบง่ายนั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะทุ่มเทคิดค้นเทคโนโลยีทางแพทย์ขึ้นมาสารพัด แต่กลับไม่ทันของการกลายพันธุ์เพื่อปกป้องตัวเองอย่างง่ายๆ ของไวรัส
ในมุมนี้ ที่คิดว่าฉลาดกว่าแบบมนุษย์ ดูจะไม่ใช่คำตอบ
ความแข็งแกร่งกว่ากลายเป็นความเรียบง่ายที่ทำให้เกิดการแปรเปลี่ยน ปรับตัวได้เร็วกว่า
การรีเซตการอยู่ร่วมกันใหม่ ในความคิดที่ว่าต้องยอมจำนนต่อเผ่าพันธุ์ที่ดูเหมือนจะเหนือกว่านั้นไม่น่าจะใช่แล้ว
เพราะผู้ชนะแทบไม่มีอวัยวะที่ใช้สำหรับคิด ว่าจะต้องชนะ เพียงแต่ขยายและกลายพันธุ์เพื่อป้องกันการถูกทำลายไปอย่างเรียบง่าย กลับกลายเป็นวิธีที่ไม่มีอะไรต้านทานได้
แนวโน้มว่าจะอยู่ได้ต้องชนะอย่างเด็ดขาด จึงน่าคิดว่าสมควรจะเลือกเดินหรือไม่
หรืออีกแนวโน้มหนึ่งน่าสนใจ นั่นคือ ต่างฝ่ายต่างปรับตัวเพื่อจะอยู่ร่วมกัน อยู่อย่างเข้าใจ และให้เกียรติกันและกัน
ไม่มีความคิดว่าจะต้องเหนือกว่า จะต้องเป็นผู้ชนะ
เหมือนการอยู่ร่วมกับโควิด-19 คือต้องเป็นผู้ที่มีโควิดอยู่ในร่างกาย
อาจจะเพราะถูกแพร่เชื้อมาจากคนอื่น หรือได้มาจากการฉีดวัคซีน ซึ่งก็คือเชื้อหรือสารเสมือนเชื้อเข้าไปร่างกาย เพื่อให้ร่างกายผลิตสารของการอยู่รวมกันได้ขึ้นมา
แม้จะเรียกสารนี้ว่า “ภูมิคุ้มกัน” ที่ดูให้ความหมายในทางเป็นปฏิปักษ์อยู่ไม่น้อย แต่โชคดีตรงที่ “โควิด-19” ไม่ได้รับรู้ถึงความหมายที่กำหนดโดยมนุษย์
รับรู้ก็เพียงสารนั้นแสดงให้เห็นว่า การอยู่ร่วมกันโดยไม่ทำลายล้างกัน
หากดำเนินไปในแนวทางนี้ คือสรรพชีวิตปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกัน
เป็นการอยู่รวมกันโดยพลังสร้างสรรค์