กระชับ การเมือง เปิดศึก ม็อบ ยุทธศาสตร์ อยู่ยาว

กระชับ การเมือง เปิดศึก ม็อบ ยุทธศาสตร์ อยู่ยาว

กระชับ การเมือง
เปิดศึก ม็อบ
ยุทธศาสตร์ อยู่ยาว

 

สภาผู้แทนราษฎรมีความเคลื่อนไหว
หลังจากปรับตัวเข้ากับโรคโควิด-19 ที่ระบาดอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดกลัวได้ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ตัดสินใจร่วมกับสมาชิกรัฐสภา

ขับเคลื่อนการทำงานของรัฐสภาต่อไป

Advertisement

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ในวาระ 2 และวาระ 3

สัปดาห์ต่อไปจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีสาระสำคัญตรงที่การเลือกตั้ง

ประเด็นการถกเถียงคงเป็นเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมมาตราอื่นนอกเหนือจากมาตราที่รัฐสภาผ่านวาระ 1 มา

Advertisement

และยังคงเป็นที่ขัดง้างกันในประเด็นบัตรเลือกตั้ง

พรรคใหญ่ อย่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ไม่ขัดข้องที่จะใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และใช้สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบรัฐธรรมนูญปี 2540

แต่สำหรับพรรคขนาดเล็กย่อมขัดข้อง เพราะสูตรคำนวณแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 แตกต่างจากสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของรัฐธรรมนูญปี 2560

ปี 2540 พรรคใหญ่ได้เปรียบ

ปี 2560 พรรคเล็กได้เปรียบ

หลังจากการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติซักฟอกด้วยข้อหารุนแรง

กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

กล่าวหา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

กล่าวหา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

กล่าวหา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

กล่าวหา นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

และกล่าวหา นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

 

ขณะที่การเมืองในสภากำลังดำเนินไป การเมืองนอกสภาก็ดูจะดุเดือดรุนแรงขึ้น
ดุเดือดขึ้นจากม็อบและเจ้าหน้าที่ผู้ปราบม็อบ

ดุเดือดทั้งในพื้นที่การชุมนุมโดยเฉพาะพื้นที่แยกดินแดง กรุงเทพฯ และดุเดือดอย่างมากในโลกโซลเชียล

ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมจากเดิมที่มีประปราย แต่พอมาผนวกกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดไม่หยุด

กระแสเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกดังกระหึ่ม

จำนวนผู้เคลื่อนไหวเพื่อแสดงความต้องการให้เปลี่ยนแปลงเริ่มมากขึ้น

ในการชุมนุมของคาร์ม็อบได้บังเกิด “โรคแทรก” ขึ้น ณ ที่แยกดินแดง เพราะอาการของกลุ่มผู้ประท้วงนั้นร้อนแรง

หลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ใช้รถฉีดน้ำ ยิงแก๊สน้ำตา และยิงกระสุนยาง สกัดมิให้ม็อบเคลื่อนไปยังบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์

ณ แยกดินแดงก็กลายเป็นจุดนัดพบของม็อบที่ต้องการเอาชนะ

การปะทะทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมบาดเจ็บ

ตำรวจก็โกรธ ม็อบก็โกรธ

สัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มมีคนใช้อาวุธปืน

สถานการณ์บ่งบอกว่า ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมต่างไม่มีใครยอมใคร

 

 

ด้านการบริหารเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลง
พล.อ.ประยุทธ์ออกมาตรวจงานในโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 มากขึ้น หลังจากต้อง “กักตัว” อยู่ในที่พักมาระยะหนึ่ง

รัฐบาลมีการเตรียมการรับมือกับโรคระบาดอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการค้นหาและจัดซื้อวัคซีน

ล่าสุด นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่าภายในเดือนกันยายนนี้ วัคซีนไฟเซอร์จำนวน 30 ล้านโดส ที่รัฐบาลสั่งซื้อจะทยอยเข้าสู่ประเทศไทย

นอกจากนี้ ข่าวคราวก่อนหน้าได้ยืนยันว่า ไตรมาส 4 คือเดือนตุลาคมถึงธันวาคม วัคซีนยี่ห้ออื่นก็จะทยอยเข้าประเทศ

น่าสังเกตว่า เดือนกันยายนเป็นเดือนที่กระทรวงสาธารณสุขมั่นใจว่าตัวเลขผู้ป่วยโควิดจะลดลง

ลดลงเพราะวัฏจักรการระบาดถึงเวลาขาลง

ลดลงเพราะมาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวยังคงดำรงอยู่

ลดลงเพราะมาตรการ Home Isolation และ community Isolation สามารถรักษาผู้ป่วยสีเขียวได้มากขึ้น

และลดลงเพราะปริมาณผู้ได้รับวัคซีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าการบริหารจัดการของรัฐบาล ทำให้โรคโควิด-19 ที่ระบาดหนักอยู่ในเดือนสิงหาคมบรรเทาลงในเดือนกันยายนได้

สายตาประชาชนที่มองรัฐบาลย่อมดีขึ้น

 

 

รัฐบาลเองย่อมมองเห็นจุดนี้เช่นกัน
มองเห็นว่ากระบวนการในรัฐสภาไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลลงได้ เพราะพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐ และไทยรักไทย ก็หวังจะได้ประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พรรคพลังประชารัฐมั่นใจว่าหากมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ระบบบัตร 2 ใบ ด้วยเกณฑ์การคำนวณแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 ย่อมทำให้ตัวเองได้เปรียบ

เช่นเดียวกันพรรคเพื่อไทยที่มั่นใจเช่นเดียวกัน

ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเองแม้จะมีความไม่พอใจพรรคแกนนำอย่างพรรคพลังประชารัฐ แต่ที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงแค่การแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล

แต่เมื่อเวลาลงมติ พรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงโหวตสนับสนุน

ดังนั้น รัฐสภาจึงไม่ใช่จุดอ่อนของรัฐบาล หากแต่เป็นการบริหารจัดการปัญหาโควิดที่เป็นจุดอ่อน

แต่ถ้ารัฐบาลสามารถคลี่คลายปัญหาการระบาดลงไปได้

โอกาสที่จะอยู่ยาวย่อมมีสูง

 

เมื่อส่องดูการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์แก่พรรคใหญ่ การมีอำนาจกู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ และแนวโน้มว่าไทยจะคลี่คลายปัญหาการระบาดลงได้
ทำให้มองเห็นแนวคิดของรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐว่า มีแผนอยู่ต่ออีกหลายปี

ทั้งการอยู่ต่อจนครบวาระ และการอยู่ต่ออีกหลังเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า

จะมีก็แต่เรื่องการจัดการผู้ชุมนุมที่หากไม่สามารถลดระดับความรุนแรงลงได้ อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
การปะทะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ย่อมทำให้คนในวัยเดียวกันเกลียดแค้นชิงชังรัฐบาล

ชิงชังถึงขนาดกล้าจะออกมาขับไล่ได้ทุกวัน

ชิงชังถึงระดับไม่ลงคะแนนเสียงให้พรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์

ดังนั้น ความมั่นคงของรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม ย่อมทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ความรุนแรง

หากเหตุการณ์บานปลายออกไปอีก แม้รัฐบาลจะควบคุมอำนาจการบริหารได้แบบอยู่ยาว

ได้เป็นรัฐบาล ได้ครองเสียงในสภา

แต่ก็ใช่ว่าจะบริหารงานได้อย่างราบรื่น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image