หลักสากลเกี่ยวกับการควบคุมหรือสลายฝูงชน
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ บางครั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐจำเป็นต้องใช้กำลังเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือบังคับใช้กฎหมายที่เรียกว่าการควบคุมฝูงชนหรือการสลายฝูงชน หลังเหตุการณ์ก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่กระทำการไม่เป็นตามหลักสากล ส่วนเจ้าหน้าที่ก็จะชี้แจงว่าเป็นไปตามหลักสากล บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวทางวิชาการที่ไม่ผูกพันคณะกรรมการซึ่งผู้เขียนเป็นกรรมการแต่อย่างใด โดยนำเสนอหลักสากลเกี่ยวกับขั้นตอน อุปกรณ์ และวิธีการใช้กำลังหรือยุทธวิธีโดยเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ นักวิชาการ ประชาชนผู้สนใจ ตลอดจนสื่อมวลชน นำไปศึกษาและใช้ประโยชน์ต่อไป
ที่มาหลักสากลเกี่ยวกับการควบคุมหรือสลายฝูงชน ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคำพิพากษาตลอดจนความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สรุปได้ว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสลายการชุมนุมจะต้องมีลำดับขั้นตอนตามหลักสากลไม่อาจดำเนินการตามอำเภอใจได้ และไม่ว่าการชุมนุมจะเป็นไปโดยสงบที่จะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ การกระทำของผู้ชุมนุมไม่ใช่การก่ออาชญากรรมโดยแท้ จึงไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทั้งหมดด้วยวิธีการเดียวกับการจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาได้
หลักสากลเกี่ยวกับการควบคุมหรือสลายฝูงชน
หลักการพื้นฐานของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (Basic Principles on the Use of Force and Firearms) สรุปได้ว่า กรณีที่จะสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายแต่มิได้มีการก่อเหตุร้าย เจ้าหน้าที่จะต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลังบังคับ แต่ในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ให้การใช้กำลังบังคับนั้นเป็นไปในระดับที่น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับกรณีที่จะสลายการชุมนุมที่ก่อเหตุร้าย เจ้าหน้าที่จะใช้อาวุธปืนได้เฉพาะต่อเมื่อวิธีการอื่นที่มีอันตรายน้อยกว่านั้นไม่สามารถใช้ได้ผลแล้ว อีกทั้งการใช้อาวุธจะต้องเป็นไปในระดับที่น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และไม่ว่าในกรณีใดจะต้องไม่ใช้อาวุธปืนกับบุคคลอื่นเว้นแต่ในกรณีเพื่อป้องกันตัวหรือป้องกันผู้อื่นให้พ้นภัยจากภยันตรายร้ายแรงที่ใกล้จะมาถึงและมีความรุนแรงที่อาจถึงแก่ชีวิตหรืออันตรายสาหัส และรัฐบาลกับหน่วยงานเกี่ยวข้องพึงพัฒนาวิธีการใช้อาวุธและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้มีความหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับความจำเป็นที่แตกต่างกันของแต่ละสถานการณ์ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่พึงได้รับอุปกรณ์ป้องกันตัวด้วย ในอารัมภบทของหลักการพื้นฐานข้างต้นมีข้อความที่น่าสนใจยิ่ง คือ งานของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นงานบริการสังคมเพื่อให้สังคมปลอดภัยมีความสงบเรียบร้อย การคุกคามต่อชีวิตและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นการคุกคามต่อเสถียรภาพของสังคมทั้งมวลด้วย
ประมวลระเบียบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (Code of Conduct for Law Enforcement Officials) ของสหประชาชาติ สรุปได้ว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้บังคับใช้กฎหมายนั้นต้องกระทำโดยเคารพและมุ่งคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตลอดจนพิทักษ์รักษาสิทธิมนุษยชนของทุกคนรวมทั้งฝูงชนที่ชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายด้วย ใช้กำลังบังคับได้ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันอาชญากรรมหรือในการจับกุมผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องสงสัยโดยชอบด้วยกฎหมาย
แนวปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายที่ไม่ถึงแก่ชีวิต (อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำ) เพื่อการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) สรุปได้ดังนี้
หลักทั่วไปว่าด้วยการใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ต้องเลือกใช้วิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงเท่าที่สามารถกระทำได้แล้วจึงค่อยใช้กำลังหรืออาวุธปืน เจ้าหน้าที่สามารถใช้กำลังได้ก็ต่อเมื่อการใช้วิธีการอื่นนั้นไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมาย เจ้าหน้าที่ต้องมีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม หากมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสมความจำเป็นในการใช้อาวุธไม่ว่าชนิดใดก็จะลดน้อยลง
หลักการใช้ความระมัดระวัง จะต้องมีการวางแผนและดำเนินการโดยใช้ความระมัดระวังที่จำเป็น ทุกประการเพื่อป้องกันหรือลดโอกาสที่เจ้าหน้าที่และประชาชนจะใช้กำลัง ลดความร้ายแรงของการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ควรชะลอการปะทะหรือเผชิญหน้ากับประชาชนโดยตรงหากเป็นไปได้ และจะต้องมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ การจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันอย่างเพียงพอและอาวุธที่ไม่ร้ายแรงชนิดต่างๆ ที่เหมาะสม ตลอดจนการเตรียมความพร้อมโดยมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่ไม่จำเป็นหรือเกินควร
หลักความจำเป็น การใช้กำลังจะต้องปรากฏว่าในขณะนั้นไม่มีวิธีการอื่นที่สามารถนำไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ของการบังคับใช้กฎหมายอันชอบด้วยกฎหมาย ต้องหาหนทางเพื่อบรรเทาสถานการณ์รวมถึงพยายามประนีประนอมสถานการณ์ที่อันตรายอย่างสันติตราบเท่าที่สามารถทำได้ หากเห็นสมควรว่ามีความจำเป็นต้องใช้กำลังในสถานการณ์นั้นจะต้องใช้กำลังอย่างน้อยที่สุดเพียงเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว และต้องหยุดการใช้กำลังทันทีที่หมดความจำเป็น
หลักการสัดส่วนที่เหมาะสม ลักษณะและระดับการใช้กำลังรวมไปถึงความเสียหายที่คาดหมายว่าสามารถเกิดขึ้นได้ต้องได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดขึ้น บรรเทาผลข้างเคียงจากการใช้กำลังที่สามารถเกิดขึ้นกับผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือสัญจรผ่าน บุคลากรทางการแพทย์และนักข่าว ห้ามเจ้าหน้าที่ใช้กำลังกับบุคคลดังกล่าวและผลกระทบข้างเคียงนั้นต้องได้สัดส่วนกับวัตถุประสงค์อันชอบธรรม
การจัดการความสงบเรียบร้อยขณะการชุมนุม เจ้าหน้าที่ควรเคารพและคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติโดยไม่เลือกปฏิบัติ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แม้ว่าการชุมนุมนั้นไม่เป็นไปตามกฎหมายก็ตาม ควรใช้เทคนิคในการบรรเทาสถานการณ์เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง ควรตระหนักว่าการนำอาวุธที่ไม่ร้ายแรงออกแสดงให้เห็นอาจเป็นการเพิ่มความตึงเครียดให้สถานการณ์ ต้องใช้มาตรการป้องกันล่วงหน้าและใช้ความระมัดระวังเพื่อเลี่ยงสถานการณ์หรืออย่างน้อยลดอันตรายที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ในกรณีที่บุคคลที่ใช้ความรุนแรงในการชุมนุมเจ้าหน้าที่มีหน้าที่แยกแยะระหว่างบุคคลที่ใช้ความรุนแรงในการแสดงออกกับบุคคลอื่นที่เข้าร่วมการชุมนุมซึ่งยังคงมีสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติ ควรใช้ความระมัดระวังกับบุคคลที่สามที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงและผู้สัญจรผ่าน การใช้อาวุธที่ไม่ร้ายแรงในการสลายการชุมนุมควรเป็นหนทางสุดท้าย ควรพยายามระบุตัวบุคคลผู้ใช้ความรุนแรงและแยกตัวบุคคลนั้นออกจากผู้ชุมนุมคนอื่นก่อนที่จะสลายการชุมนุม เพื่อทำให้การชุมนุมหลักสามารถดำเนินต่อไปได้ ถ้าการใช้มาตรการขัดขวางแบบเจาะจงตัวบุคคลนั้นไม่มีประสิทธิภาพจึงสามารถใช้อาวุธที่มีเป้าหมายแบบวงกว้าง (เช่น ปืนฉีดน้ำหรือแก๊สน้ำตา) แทนอาวุธที่มีเป้าหมายแบบเจาะจงตัวบุคคลก็ต่อเมื่อได้เตือนอย่างเหมาะสม เว้นเสียแต่ว่าการเตือนจะทำให้การดำเนินการล่าช้าและอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส หรือทำให้มาตรการดังกล่าวไร้ผลในบางสถานการณ์ ต้องให้เวลากับผู้ชุมนุมในการปฏิบัติตามคำเตือน และจัดเตรียมพื้นที่หรือเส้นทางที่ปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมในการเดินทาง
การใช้อาวุธปืนเพื่อสลายการชุมนุมนั้นผิดกฎหมาย ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้กำลังเจ้าพนักงานสามารถใช้อาวุธที่ไม่ร้ายแรงเท่านั้น เพราะสามารถกำหนดเป้าหมายแบบเจาะจงตัวบุคคลและมุ่งใช้กับบุคคลผู้ใช้ความรุนแรงโดยเฉพาะ เว้นเสียแต่ว่าสถานการณ์นั้นกฎหมายอนุญาตให้สลายการชุมนุมทั้งหมด การใช้อาวุธดังกล่าวควรคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ชุมนุมที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงหรือผู้อยู่ในเหตุการณ์ และจะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ฝูงชนจะแตกตื่นและวิ่งอลหม่านอาวุธที่ใช้ต้องเป็นอาวุธที่มีความแม่นยำตามมาตรฐานระหว่างประเทศ การใช้เครื่องกีดขวางควรเป็นไปโดยไม่สร้างอันตรายแก่สวัสดิภาพ การใช้ลวดเหล็กลวดหนามหรือเครื่องกีดขวางอื่นที่มีเดือยแหลมเป็นการทำอันตรายโดยไม่จำเป็นแก่ผู้ชุมนุม หากจำเป็นต้องมีการใช้เครื่องกีดขวางควรเลือกใช้เครื่องมืออื่นที่มีปลอดภัยมากกว่า ข้อสังเกต การใช้ตู้คอนเทนเนอร์วางเป็นแนวป้องกันนั้นไม่ต้องห้ามการใช้ เพราะไม่ได้สร้างอันตรายต่อผู้ชุมนุม ส่วนลวดหีบเพลงแถบหนามต้องห้าม เพราะเป็นเครื่องกีดขวางสร้างอันตรายโดยไม่จำเป็นแก่ผู้ชุมนุม
นอกจากนั้นบุคลากรทางการแพทย์ไม่ว่าจะปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่หรือในฐานะอาสาสมัครควรที่จะสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บได้อย่างปลอดภัย
กระบอง ใช้เพื่อป้องกันตัวเองจากผู้ใช้ความรุนแรงหรือใช้ในการจับกุมผู้ที่ขัดขืนโดยใช้ความรุนแรง ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับบุคคลที่สร้างความเสียหายหรือขู่ว่าจะสร้างความเสียหายแก่เจ้าหน้าที่หรือบุคคลทั่วไป การตีควรเล็งไปที่แขนหรือขาของผู้จู่โจม ควรหลีกเลี่ยงการตีกระบองบริเวณเหนือแขน การจิ้มหรือแทงด้วยกระบองไปที่ทรวงอก คอ หัว กระดูกสันหลัง ไต และช่องท้อง เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำให้บาดเจ็บและอวัยวะสำคัญฉีกขาด อาจเป็นการใช้กระบองที่ผิดกฎหมาย การล็อกคอด้วยกระบองเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเนื่องจากเกิดความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส
สารเคมีที่ทำให้ระคายเคือง (น้ำตาไหล) แบบมือถือ ใช้จัดการหรือห้ามปรามผู้ใช้ความรุนแรงหรือใช้ช่วยในการจับกุมผู้ที่ขัดขืนโดยใช้ความรุนแรง ออกแบบเพื่อพ่นใส่บริเวณหน้าของบุคคลในระยะห่างหลายเมตรทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาระบบทางเดินหายใจช่วงบนและผิวหนัง ควรนำมาใช้เฉพาะกรณีที่เจ้าหน้าที่มีเหตุสมควรอันจะเชื่อว่าภัยจากการทำร้ายนั้นใกล้ตัว การควบคุมตัวผู้ต้องหาโดยจัดให้นอนคว่ำหลังเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรนำไปใช้ในการต่อต้านคำสั่งอย่างสงบโดยสิ้นเชิง ไม่ใช้กับบุคคลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ และไม่ควรใช้ในสภาพแวดล้อมปิดที่ไม่มีการระบายอากาศเพียงพอหรือไม่มีทางออก เพราะสามารถทำให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสจากการขาดอากาศหายใจ
สารเคมีที่ทำให้ระคายเคืองชนิดปล่อยจากระยะไกล (แก๊สน้ำตา) ยิงได้จากระยะไกลไปสู่กลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในความรุนแรงเพื่อสลายตัวและระงับการใช้ความรุนแรง ควรยิงด้วยมุมสูง การแตกตื่นเป็นผลที่อาจเกิดขึ้นหากสารระคายเคืองถูกนำมาใช้กับฝูงชนในพื้นที่ปิด เช่น สนามฟุตบอล ในพื้นที่เปิดแก๊สน้ำตาอาจมีผลกระทบแบบไม่เจาะจงเป้าหมายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทิศทางลม ในบางกรณีอาจทำให้เสียชีวิต เช่นหากสารเคมีถูกปล่อยในพื้นที่ที่จำกัดและทำให้สัมผัสสารปริมาณมาก การยิงอาจส่งผลให้เสียชีวิตหากยิงไปใกล้วัสดุที่ติดไฟง่ายและทำให้เกิดเพลิงไหม้ ไม่ควรยิงไปในพื้นที่ด้านหลังของกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงเพราะอาจกระตุ้นให้เคลื่อนที่ไปยังเจ้าหน้าที่และเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญหน้าและการใช้ความรุนแรง ไม่ควรเล็งยิงไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่ควรยิงไปยังบริเวณหัวหรือใบหน้า เพราะทำให้มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส ไม่ควรใช้ในพื้นที่ปิดซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีทางออกหรือการระบายอากาศที่เพียงพอเช่นกัน
อาวุธนำไฟฟ้า (ปืนไฟฟ้า) ใช้ส่งกระแสประจุไฟฟ้าซึ่งทำให้กล้ามเนื้อของเป้าหมายเกร็งตัวแล้วไม่อาจเคลื่อนไหว เพื่อทำให้บุคคลในระยะไกลไม่สามารถคุกคามที่เป็นอันตรายที่ใกล้ตัวเจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่น ไม่ควรใช้กับผู้สูงอายุ และไม่ควรใช้ยิงไปบริเวณศีรษะ ซึ่งอาจเกิดการล้มลงจากที่สูงหรือล้มฟาดพื้น หลีกเลี่ยงการเล็งไปที่อกด้านหน้าบริเวณใกล้หัวใจเพื่อที่จะลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บสาหัสหรือการเสียชีวิต เด็กและผู้ใหญ่ที่มีรูปร่างผอมบางอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับอันตรายภายใน ไม่ควรใช้ยิงใกล้กับของเหลวติดไฟง่ายหรือไอน้ำที่อาจระเบิดได้ และไม่ควรใช้กับผู้ที่ต่อต้านคำสั่งของเจ้าพนักงานด้วยการนิ่งเฉย
กระสุนยาง ใช้เพื่อจัดการกับบุคคลที่ใช้ความรุนแรง ควรเล็งยิงไปที่บริเวณช่องท้องส่วนล่างหรือขาของบุคคลที่ใช้ความรุนแรงเท่านั้น เพื่อยับยั้งภัยอันใกล้จะถึงซึ่งอาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บการเล็งยิงไปที่ใบหน้า ศีรษะ หรือลำคอ อาจทำให้กะโหลกร้าวและการบาดเจ็บทางสมอง ความเสียหายต่อดวงตารวมถึงการสูญเสียการมองเห็นถาวร หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิต ไม่ควรยิงจากที่สูงเพิ่มความเสี่ยงที่จะยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ เล็งบริเวณลำตัวก็สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่อวัยวะสำคัญรวมถึงอาจทำให้กระสุนทะลุเข้าในร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยิงระยะใกล้ ต้องเป็นกระสุนที่มีความแม่นยำที่มีกลุ่มกระสุนไม่เกิน 10 เซนติเมตร การใช้กระสุนยางที่แยกชิ้นส่วนออกไปเมื่อกระทบพื้นก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บร้ายแรงจากการขาดความแม่นยำไม่ควรถูกยิงในโหมดอัตโนมัติ การยิงพร้อมกันหลายนัดไม่มีความแม่นยำ และต้องได้รับการทดสอบและอนุมัติให้ใช้ได้เพื่อประกันว่าสามารถใช้ยิงจากระยะที่กำหนดให้ตกกระทบเป้าทดสอบที่มีขนาดเท่าตัวคนจริงในบริเวณที่ปลอดภัยโดยไม่แรงจนเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ กระสุนเหล็กที่หุ้มด้วยยางเป็นกระสุนที่มีความอันตรายอย่างยิ่งไม่ควรนำมาใช้
รถฉีดน้ำแรงดันสูง ยานพาหนะที่ถูกออกแบบมาเพื่อฉีดน้ำด้วยแรงดันเพื่อสลายฝูงชน ปกป้องทรัพย์สินหรือระงับเหตุรุนแรง สารระคายเคืองทางเคมี สารที่มีกลิ่นเหม็น หรือสารที่อันตรายต่อสุขภาพบางครั้งอาจถูกผสมในน้ำเพื่อใช้ฉีดได้ โดยหลักแล้วควรถูกใช้เฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดความวุ่นวายอย่างร้ายแรงในสังคมลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตการบาดเจ็บสาหัสหรือการทำลายทรัพย์สินเป็นวงกว้าง ควรมีการวางแผนอย่างระมัดระวังและถูกควบคุมด้วยคำสั่งที่ชัดเจนกับถูกกำกับโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไม่ควรใช้กับบุคคลซึ่งอยู่บนที่สูง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บ และความเสี่ยงของการลื่นหรือถูกน้ำดันกระแทกกำแพงหรือวัตถุอื่น ต้องไม่ฉีดใส่บุคคลในระยะใกล้เนื่องจากอาจทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นถาวรหรือการบาดเจ็บ ไม่ควรใช้กับบุคคลที่ถูกควบคุมหรือที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้
อุปกรณ์และอาวุธเสียง อุปกรณ์แจ้งเตือนโดยเสียงบางประเภทอาจถูกใช้เป็นอาวุธเสียง อาวุธเสียงในโหมดเตือนภัยสามารถนำมาใช้ได้ระหว่างการชุมนุมบนเงื่อนไขว่าต้องมีการทดสอบอย่างเหมาะสม และต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านสุขภาพร้ายแรงหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ในระยะใกล้ด้วยระดับเสียงที่ดังและ/หรือเป็นระยะเวลานาน มีตั้งแต่อาการเจ็บปวดชั่วคราวแก้วหูทะลุและการสูญเสียการทรงตัวจนถึงหูหนวก เพื่อที่จะลดความเสี่ยงและป้องกันการบาดเจ็บควรมีการกำหนดระดับความดังในหน่วยวัดเดซิเบลเอสูงสุดและระยะห่างขั้นต่ำไว้ล่วงหน้า การใช้อาวุธเสียงกับกลุ่มบุคคลโดยไม่เลือกหน้าหรือในระยะที่ความดังของเสียงน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรต่อระบบการได้ยินของบุคคลเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย หมายเหตุ แนวปฏิบัติของสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายที่ไม่ถึงแก่ชีวิต ข้างต้นยังไม่มีการแปลอย่างเป็นทางการ สมควรที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จัดแปลอย่างเป็นทางการต่อไป และผู้ที่สนใจควรศึกษารายละเอียดแนวปฏิบัติดังกล่าวฉบับภาษาอังกฤษประกอบด้วย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อน
สรุป ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมหรือสลายฝูงชนนั้น จะต้องยึดถือหลักสากล นอกเหนือจากกฎหมายที่เป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนด้วย ซึ่งจะส่งผลให้บรรลุภารกิจที่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย และได้รับการยอมรับจากสังคม ในส่วนของเจ้าหน้าที่นอกจากรัฐต้องจัดการฝึกอบรมให้แล้ว รัฐยังต้องจัดอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เพียงพอและเหมาะสมกับปลอดภัยในแต่ละสถานการณ์ด้วย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อให้สังคมปลอดภัยมีความสงบเรียบร้อย หากผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงคุกคามต่อชีวิตและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นการคุกคามต่อสังคมด้วย
พล.อ.กฤษณะ บวรรัตนารักษ์
กรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม
กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร