วิกฤตยูเครนทำวัตถุดิบราคาพุ่ง กดดันหนักคนเลี้ยงสัตว์ที่ถูกตรึงราคาขาย

ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในยูเครนกำลังทำให้ราคาวัตถุดิบสำคัญของโลกที่แพงอยู่แล้วยิ่งแพงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อาหาร” เนื่องจากทั้งยูเครนและรัสเซียเป็นผู้ส่งออกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก โดยมีปริมาณการส่งออกข้าวสาลีรวมกันราว 29% ของปริมาณการส่งออกทั่วโลก และมีสัดส่วนการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงถึง 19% ของตลาดโลก วิกฤตยูเครนในครั้งนี้ จึงทำให้ราคาวัตถุดิบทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นและกระทบต่อทุกภาคส่วนทันที

ในประเทศไทย ราคาข้าวสาลีนำเข้าซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ มีราคาปรับสูงขึ้นจาก 8-9 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อปี 2564 เพิ่มเป็น 12 บาทต่อกิโลกรัมในปัจจุบัน ขณะที่ข้าวโพดในประเทศไทยมีราคาปรับไปถึง 11.20 บาทต่อกิโลกรัม และมีแนวโน้มไปถึง 12 บาทต่อกิโลกรัมในเร็วๆ นี้ สถานการณ์นี้กำลังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อวัตถุดิบชนิดอื่นมีแนวโน้มราคาสูงตามไปด้วย โดยวัตถุดิบอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ราคาขึ้นมาสูงกว่า 50-60% แล้ว ยังไม่นับรวมต้นทุนค่าขนส่งที่แปรผันตรงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งพุ่งสูงขึ้นจากวิกฤตยูเครนเช่นกัน

ข้อมูลราคาวัตถุดิบจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยพบว่าข้าวสาลีทะยานพุ่งสูงถึง 34.68% เมื่อเทียบกับปี 2564 กากถั่วเหลืองนำเข้าราคาขยับตัวสูงแตะ 20 บาท/กิโลกรัม จาก 16.51 บาท/กิโลกรัม ส่วนกากถั่วเหลืองที่ซื้อจากโรงสกัดน้ำมันในประเทศอยู่ที่ 21 บาท/กิโลกรัม นอกจากนี้วัตถุดิบตัวอื่นไม่ว่าจะเป็น มันสำปะหลัง ข้าวสาลี แป้งสาลี ข้าวบาร์เลย์ DDGS หรือน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นส่วนประกอบในวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ก็ล้วนปรับราคาสูงขึ้นอย่างมาก (ดังตารางสถานการณ์ราคาวัตถุดิบ) แม้แต่ถ่านหินซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตอาหารสัตว์ก็ปรับราคาสูงขึ้นเป็น 2 เท่าเช่นกัน

ต้นทุนการผลิตอาหารของเกษตรกรไทยจึงสูงขึ้นอย่างมากดังที่ นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงสถานการณ์นี้ว่ายูเครนและรัสเซียอาจไม่สามารถเก็บเกี่ยว หรือทำการส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ตามปกติ รวมถึงภัยแล้งในบราซิลที่กระทบปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองด้วย ดังนั้น ต้นทุนการผลิตเนื้อไก่จึงสูงขึ้นอย่างมากและสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาขายเนื้อไก่กลับถูกตรึง ไม่สะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์ไม่มีทางอยู่รอดได้

Advertisement

เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง ระบุว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และราคากากถั่วเหลืองมีราคาสูง กระทบต้นทุนการผลิตอย่างมาก แต่ราคาขายไข่ไก่หน้าฟาร์มถูกตรึงอยู่ที่ฟองละ 2.90 บาท ขณะที่ต้นทุนพุ่งไปที่ฟองละ 2.92 บาท ซึ่งเธอย้ำว่าไม่มีคนทำมาหากินที่ไหนที่จะอยู่ได้ ถ้าถูกควบคุมราคาขายปลายทาง แต่ต้นทุนผลิตพุ่งไม่หยุดเช่นนี้

นาทีนี้เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์กำลังเดือดร้อนหนักจากภาวะต้นทุนการผลิตสูง ด้วยราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่พอตัดภาพกลับไปที่สนามบินน้ำ ก็ได้เห็นความปลื้มปริ่มของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่โชว์ผลงานว่า ทำให้ราคา “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ คนเลี้ยงสัตว์จึงสะท้อนใจอย่างมาก นี่คือสิ่งที่ตอกย้ำว่ากระทรวงการค้าการขายของไทยเรามีวิสัยทัศน์ระยะสั้น หาได้ศึกษาผลกระทบตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารของประเทศ และไม่มีความรู้เลยว่า หากราคาข้าวโพดสูงขนาดนี้จะกระทบภาคส่วนอื่นขนาดไหน ยิ่งโลกกำลังสั่นสะเทือนกับวิกฤตสงครามที่จ่อทำราคาอาหารพุ่งทั่วโลกด้วยแล้ว กระทรวงการค้าของเรากระทรวงนี้จะสนใจแก้ปัญหาตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารหรือไม่?

อย่างน้อยการปล่อยราคาขายปลายทางตามกลไกตลาด ก็ช่วยลดแรงกดดัน ให้เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์อยู่รอดได้ ดังเช่นที่เรื่องของหมู ที่ระดับราคาปรับตัวลดลงเองหลังกลไกตลาดทำงาน เกษตรกรอยู่รอด ผู้บริโภคอยู่ได้ … ไม่ใช่ใช้วิธีบีบคั้นให้คนเลี้ยงไก่แบกรับภาระต้นทุนสูงๆ แทนข้อต่ออื่นๆ ในห่วงโซ่ แล้วต้องถูกจำกัดให้ขายในราคาควบคุมเช่นที่กำลังทำอยู่ … แรงกดดันแบบนี้อาจทำให้ข้อต่อข้อนี้ระเบิดตูมขึ้นมาในสักวัน

Advertisement

ธนา วรพจน์วิสิทธิ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image