แม้ตัวเลขการติดเชื้อโควิดรายวันยังสูง แต่ทางการแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นการระบาดของเชื้อที่ไม่รุนแรง และกำลังจะเป็นโรคประจำถิ่น ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวในการประชุมวิชาการว่า เรื่องการระบาดของโควิด-19 กำลังเข้าสู่ปลายทางการระบาด สายพันธุ์ที่ระบาดขณะนี้คือสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งดูเหมือนน่ากลัวเพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อวิ่งขึ้น แต่สุดท้ายเราจะไปสู่กระบวนการเลิกตรวจหาเชื้อ ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศเลิกแล้ว เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ก่อโรคไม่รุนแรง เมื่อโรคไม่รุนแรง เมื่อมีการติดเชื้อ 2 สัปดาห์จะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นเอง บวกกับการฉีดวัคซีนครอบคลุมมากขึ้น จึงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่เชื้อจะจัดการตัวเองแล้วโรคก็ค่อยๆ สงบลง
อย่างไรก็ตาม แม้เป็นช่วงปลายทางของการระบาด แต่ประชาชนยังควรใช้ความระมัดระวัง ขณะที่ทางราชการควรจัดระบบรองรับผู้ป่วยติดเชื้อ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ชี้ว่า ขณะนี้พบว่าผู้ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่ราว50% ไม่มีอาการป่วย ส่วนที่มีอาการ 50% จำแนกอาการย่อยได้เป็น ไอและเจ็บคอ 50%, อ่อนเพลีย เป็นไข้ 30-40%, และถ่ายเหลว 10%ทั้งนี้ ใกล้เคียงกับไข้หวัดแล้ว แต่ที่ต้องระวังเพิ่มขึ้นเพราะอาจพบโรคไข้เลือดออกได้ จะมีอาการไข้ อ่อนเพลียเหมือนๆ กัน ดังนั้น หากสงสัยว่าตัวเองมีอาการคล้ายไข้หวัด หรือถ่ายเหลว เบื้องต้นให้ตรวจ ATK ทันที หากเป็นผลลบให้สังเกตอาการตัวเองใน 48 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ไปโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการโรคอื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการป้องกันติดเชื้อสูงสุด ติดเชื้อแล้วก็ต้องกักตัวเอง เพราะแม้ไม่มีอาการรุนแรง แต่หากไปพบคนอื่นที่ภูมิต้านทานน้อย มีโรคร่วม ก็จะมีความเสี่ยง
การระบุถึงปลายทางของการระบาดถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เพราะประเทศไทยผ่านการระบาดหนักมาหลายระลอก ผ่านสภาพที่วัคซีนไม่พอ การใช้ “ยาแรง” หรือมาตรการต่างๆ รับมือ ทำให้เกิดการชะงักงันและเสียหายทางเศรษฐกิจ ธุรกิจของภาคเอกชนต้องยุติไปเป็นจำนวนมาก การเตรียมฟื้นฟูประเทศหลังการระบาดหนักเป็นเรื่องที่จะต้องมีการตระเตรียม แต่ควรมีมาตรการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในปลายทางของการระบาดที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพด้วย
