สะเทือนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยอย่างมาก กับข่าวที่กระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซียออกมาระบุว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตรถรายใหญ่ของญี่ปุ่น วางแผนที่จะลงทุน 27.1 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 1.80 พันล้านดอลลาร์ ในอินโดนีเซียอีก 5 ปีข้างหน้าเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
โดยตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการแปรรูปแร่นิกเกิลที่อุดมสมบูรณ์สำหรับใช้ในแบตเตอรี่ลิเทียม
ข้อเท็จจริงและรายละเอียดคงต้องรอการแถลงจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน
แต่หากมีการไปลงทุนที่อินโดนีเซียจริงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้บริษัทยักษ์ใหญ่เดินหน้าลงทุนด้านยานยนต์อีวีแล้ว ทั้ง Hyundai Motor ผู้ผลิตแบตเตอรี่อันดับสองของโลก LG Energy Solution มิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน และอีกหลายบริษัทที่อยู่ระหว่างการเจรจา
เนื่องจากอินโดนีเซียมีความได้เปรียบเป็นแหล่งแร่นิกเกิลที่ใช้ในแบตเตอรี่ลิเทียมสำหรับรถยนต์อีวี
ต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่าไทย และตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ มีประชากร 200 ล้านกว่าคน
ทุกอย่างจึงชิงความได้เปรียบ และไม่ใช่เรื่องยากหากจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์อีวีของโลก
ปัจจุบันภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ โดยเปลี่ยนไปใช้รถยนต์อีวีทดแทนระบบเครื่องยนต์สันดาป
ความพยายามที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฮับทางด้านรถยนต์อีวีอีกแห่งหนึ่งของโลกจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก
และคงไม่ง่ายอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้ประกาศไว้ในกลยุทธ์ 3 แกน สร้างอนาคตว่า “ขณะนี้ได้ขับเคลื่อน และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ต้องล็อกผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลกให้อยู่ในประเทศไทย ต้องช่วยให้เรื่องต่างๆ ง่ายขึ้นสำหรับเขา ในการที่จะลงทุนเพิ่ม วันนี้เดินมาได้ไกลแล้ว ด้วยการทำงานอย่างรวดเร็ว และบูรณาการหลายหน่วยงาน จนผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกหลายรายแสดงเจตนารมณ์ว่าจะเดินหน้าตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย”
ที่ผ่านมาเห็นความตั้งใจของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายรถยนต์อีวี ทั้งมาตรการทางด้านภาษี ทำให้รถยนต์อีวีราคาถูกลง ประชาชนทั่วไปจับต้องได้
มาตรการส่งเสริมการผลิต เช่น บอร์ดบีโอไอ เคาะเพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนผลิตแบตเตอรี่ยานพาหนะอีวีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ ระดับโมดูล เพิ่มระยะเวลาการให้สิทธิและประโยชน์ลดหย่อนอากรขาเข้าวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี
KKP research ได้วิเคราะห์สะท้อนภาพการผลักดันของภาครัฐเอาไว้อย่างน่าคิดว่า มาตรการรัฐที่เกี่ยวข้องกับอีวี ยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้เกิดการผลิตอีวี ในประเทศ เกิดจากปัญหา 3 ส่วนคือ 1.การตั้งฐานการผลิตต้องคุ้มกับต้นทุน ค่ายรถยนต์ในฝั่งยุโรปจะลังเลที่จะเข้าร่วมมาตรการภาครัฐ เนื่องจากยังขายได้จำนวนไม่มาก
2.มาตรการดังกล่าวยังเป็นการดึงดูดเฉพาะปัจจัยด้านราคา หรือการช่วยลดภาษี แต่ไม่ได้มีการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขัน
3.มาตรการภาครัฐเป็นการสนับสนุนให้คนไทยใช้รถยนต์ อีวี ซึ่งเป็นการสนับสนุนตลาดในประเทศเท่านั้น ในขณะที่ตลาดต่างประเทศอาจไม่เลือกนำเข้ารถยนต์อีวี จากไทยอีกต่อไป จากทางเลือกที่มากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์อีวี จากประเทศจีนมีราคาต่ำ
การผลักดันไทยเป็นฮับอีวีแม้จะไม่ง่ายด้วยปัจจัยต่างๆ
รัฐบาลต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ ผลักดันให้ไทยเป็นฮับรถยนต์อีวีได้จริง ไม่ใช่แค่ฝัน