บทนำ : นายกฯรักษาการ
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ว่า สืบเนื่องจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยนั้น ครม.มีมติเห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในกรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ พล.อ.ประวิตร ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีอื่น รักษาราชการแทน ดังนี้ 1.นายวิษณุ เครืองาม, 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล, 3.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์,4.นายดอน ปรมัตถ์วินัย และ 5.นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ โดย พล.อ.ประวิตร มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่ในการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการหรือองค์กรใด ทั้งนี้ หากรองนายกรัฐมนตรีในลำดับต่อไป เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี การจะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับความเห็นชอบจาก พล.อ.ประวิตรก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยอย่างอื่น นายอนุชากล่าวเพิ่มเติมว่า ครม.ชุดนี้มีอำนาจเต็มทุกประการ ไม่ใช่ ครม.รักษาการ นอกจากนี้ พลเอก ประยุทธ์ ยังคงเป็น รมว.กลาโหม ตามประกาศพระบรมราชโองการวันที่ 10 กรกฎาคม 2562
มติ ครม.ดังกล่าว เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการบริหารราชการ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มทุกประการ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยใน 1 เดือน หรือประมาณปลายเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาล แม้นายกฯมีอำนาจเต็ม แต่จะไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงตำแหน่งใน ครม. และภายหลังศาลมีคำวินิจฉัย ไม่ว่าจะในทิศทางใดก็ตาม หากผู้มีอำนาจหน้าที่พ้นบทบาทไป รัฐธรรมนูญและกฎหมายได้บัญญัติรองรับไว้ทั้งหมด และต้องจับตาว่า อาจจะเกิดการปรับเปลี่ยนในรัฐบาลในห้วงเวลาดังกล่าว
