รัฐต้องทำอะไร เพื่อช่วยคนเลี้ยงหมูให้รอดในปี 2566

รัฐต้องทำอะไร เพื่อช่วยคนเลี้ยงหมูให้รอดในปี 2566 สถานการณ์คนเลี้ยงหมู

รัฐต้องทำอะไร เพื่อช่วยคนเลี้ยงหมูให้รอดในปี 2566

สถานการณ์คนเลี้ยงหมูปี 2566 ไม่สู้ดีนัก เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาแพงมาก ปัจจุบันกากถั่วเหลือง 23.40 บาท/กก. ข้าวโพดหน้าโรงงาน 13.40 บาท/กก. (ชาวไร่ข้าวโพดขายได้ 9.50 บาท/กก.) ปลายข้าว 14.20 บาท/กก. ต้นทุนการผลิตที่คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตสุกรกรณีซื้อลูกหมูมาเลี้ยงขุนเท่ากับ 101 บาท/กก. แต่ช่วงตรุษจีนราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มซื้อขายกันที่ 98-102 บาท/กก. เท่ากับว่าตอนนี้คนเลี้ยงหมูไม่มีกำไร

หลังจากนี้บอกเลยว่า ปีนี้คนเลี้ยงหมูเหนื่อย!!!

ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองยังคงเป็นหอกคอยทิ่มแทงคนเลี้ยงหมู เนื่องจากประเทศไทยเราผลิตข้าวโพดได้เพียง 40% ต้องนำเข้า 60% ปีนี้ก็ยังคงเป็นปัญหา เพราะนโยบายรัฐที่ไร้การวางแผนเกี่ยวกับการนำเข้าข้าวโพด ยังคงใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3:1 ซึ่งรัฐไม่ควรกำหนดโควต้าการนำเข้า แต่ควรดูปริมาณการผลิตข้าวโพดภายในประเทศในปีนี้ และอนุญาตให้นำเข้าไม่เกินปริมาณส่วนขาด ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า อุปสงค์ส่วนขาด ไม่จำเป็นต้องกำหนดโควต้าแต่อย่างใด เพียงแต่กำหนดเพดานการนำเข้า พิจารณาช่วงนำเข้าที่เหมาะสม ไม่ให้กระทบต่อช่วงข้าวโพดไทยที่ออกสู่ตลาด สิ่งเหล่านี้ต้องวางแผนและต้องทำตั้งแต่ต้นปี

Advertisement

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรสร้างความร่วมมือในการจัดหาพืชอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพด ปลายข้าว รำข้าว มันสำปะหลัง เพื่อให้รายย่อยผสมอาหารสัตว์ใช้กันเองภายในกลุ่มผู้เลี้ยงหมู/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการเลี้ยงหมูของผู้เลี้ยงรายย่อย พร้อมทั้งเพิ่มรายได้ของเกษตรกรจากปลูกพืชหลังนา ซึ่งสามารถกำหนดปริมาณและรับซื้อที่แน่นอน เพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์

สำหรับกากถั่วเหลืองนั้นไม่ต้องพูดถึง เราต้องนำเข้ามา 99% ของปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ เนื่องจากเราผลิตถั่วเหลืองได้ไม่ถึง 50,000 ตัน/ปี แต่ต้องใช้ประมาณปีละ 4 ล้านตันใช้สกัดน้ำมัน 75% แปรรูปอาหารคนและอาหารสัตว์ 25% และรัฐอย่าได้อาจหาญส่งเสริมให้เกษตรกรไทยผลิตถั่วเหลือง เพราะผลผลิตต่อไร่ต่ำมาก เราไม่มีทางสู้ได้ ต้องนำเข้าต่อไป แม้ว่าบราซิลผู้ส่งออกถั่วเหลืองรายสำคัญของโลก จะมีแนวโน้มส่งออกถั่วเหลืองได้มากขึ้น แต่ผู้ใช้รายใหญ่อย่างจีน สหภาพยุโรป และสหรัฐ ก็มีแนวโน้มการใช้เพิ่มขึ้นเช่นกัน น่าจะทำให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในปีนี้คงตัวอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ทั้งปี

นอกจากนี้ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องเผชิญกับต้นทุนค่าแรง ค่าพลังงาน ราคาอาหารสัตว์น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน นั่นหมายถึงปีนี้ราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มไม่ควรต่ำกว่า 100 บาท/กก.

Advertisement

แม้ว่าจะมีการประกาศราคาแนะนำจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรที่เพิ่มขึ้นมา 4 บาท/กก. จากความต้องการเนื้อหมูที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่คนเลี้ยงหมูไม่ได้ดีใจนัก แค่หายใจทั่วท้องเพียงชั่วครู่ เพราะรู้ดีว่านี้คือการปรับขึ้นราคาชั่วคราว ราคาหมูหลังตรุษจีนคือของจริง จะขึ้นหรือลงอยู่ที่ปริมาณหมูเถื่อน !!

ในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณการผลิตหมูขุนกลับเพิ่มเข้ามาได้ประมาณ 17 ล้านตัว แต่เราก็เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวมาเพิ่มการบริโภคเนื้อหมูเช่นกัน หากราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มต่ำกว่า 100 บาท/กก. แสดงว่ามีหมูเถื่อนมาเทขายในราคาถูก กรมปศุสัตว์ต้องผนึกกำลังเฝ้าระวังและตรวจจับอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี หมูขุนที่คาดว่าจะเข้าเลี้ยงเพิ่ม 3 ล้านตัวในปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากรายใหญ่ที่มีความพร้อมทั้งในเรื่องแม่พันธุ์ ระบบไบโอซีเคียวริตี้ ต้นทุนการขุนโดยเฉพาะอาหารที่มีต้นทุนเฉลี่ยถูกกว่ารายย่อย ประกอบกับรายย่อย แม้จะอยากกลับมาเลี้ยงก็ไม่ง่ายนัก เนื่องจากราคาลูกหมูแพงมาก (16 กก. 3,400 บาท/ตัว+/-96 บาท/กก.) รายย่อยส่วนใหญ่จึงตัดสินใจซื้อลูกหมูเข้าเลี้ยงเล็กลง น้ำหนักอยู่ราวๆ 5-7 กก. ราคาประมาณ 2,000-2,500 บาท/ตัว เพื่อลดต้นทุนลูกหมู แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงในส่วนของอัตราสูญเสียที่อาจเพิ่มขึ้นและต้นทุนอาหารในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

ความเสี่ยงถัดมาคือ การซื้อขายลูกหมูเพื่อเข้าเลี้ยงของรายย่อยนั้น มักจะไม่ได้มีการตรวจเชื้อว่าปลอดโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) หรือไม่ ซึ่งปศุสัตว์ควรต้องเร่งทำความเข้าใจและอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของเชื้อ ASF ที่แฝงอยู่ สังเกตได้จากช่วงหลังที่เริ่มมีการกลับเข้าเลี้ยงเพิ่มขึ้นก็มีการพบเชื้อ ASF เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่เช่นกัน

นอกจากนี้ เพื่อแก้ปัญหาแม่พันธุ์และลูกหมูขาดแคลน กรมปศุสัตว์ควรร่วมมือกับรายกลางและรายใหญ่ในจังหวัดเดียวกัน หรือจังหวัดใกล้เคียงในการแบ่ง/ผลิตแม่พันธุ์/ลูกหมูมาให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในพื้นที่ ได้นำไปเลี้ยงต่อในราคาทุน และควรสนับสนุนงบประมาณบางส่วนหรือสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยจากรัฐบาลเพื่อปรับปรุงฟาร์มรายย่อยให้ได้มาตรฐาน GFM และจัดทำระบบไบโอซีเคียวริตี้ ขณะที่ข่าวเกี่ยวกับข้อมูลการพบเชื้อ ASF เป็นสิ่งสำคัญ ควรต้องประชาสัมพันธ์ให้คนเลี้ยงหมูทราบอย่างทั่วถึง เพื่อสร้างความตระหนักและปฏิบัติตามหลักไบโอซีเคียวริตี้อย่างเข้มงวด เนื่องจากเชื้อตัวนี้ยังแฝงอยู่ในสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างปัญหาได้ทันทีที่เกิดความบกพร่องในการป้องกันโรค

สรุปว่ารัฐต้องทำอะไรบ้าง
1) วางแผนและจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้เพียงพอ
2) กำกับดูแลและตรวจจับหมูเถื่อน
3) ส่งเสริมและสนับสนุนการทำฟาร์มได้มาตรฐาน และระบบไบโอซีเคียวริตี้
และ 4) หน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนได้รวดเร็วและถูกต้อง

เหล่านี้คือ “หน้าที่” ของรัฐที่ต้องทำในวันนี้ ให้สมกับเงินภาษีประชาชน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image