โรงทาน

โรงทาน

โรงทาน

ได้อ่านบทความเรื่องคนไร้บ้านของท่านพลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษาของท่านผู้ว่า กรุงเทพมหานครแล้ว อดใจไม่ไหวที่จะส่งบทความไปให้ความรู้แก่ผู้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนอีกสักครั้ง เพราะได้หยุดรบกวนบรรณาธิการมานานแล้ว เรื่องนั้นก็คือ ทุกวันนี้มีประชาชนผู้หวังบุญ ได้เตรียมอาหารไปแจกตามจุดต่างๆ ตามที่ทาง กทม. กำหนดไว้ให้ ดูเหมือนทดแทน ตู้ปันสุข ในช่วงที่โควิดเริ่มระบาดใหม่ๆ เมื่ออ่านแล้ว พบว่ามีผู้ไปคอยรับทานกันมาก จุดนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึง ปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือใคร? พระโพธิสัตว์ คือ ผู้มุ่งจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อย่างพระพุทธเจ้าของเรา ขณะที่ยังไม่บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า พระชาติใดพระองค์เป็นกษัตริย์ พระองค์จะสร้างโรงทานไว้ 4 ทิศ เพื่อให้ชาวเมืองมากินกัน ขอให้ท่านผู้อ่านไปหาอ่านได้ ในคัมภีร์ชาดก เพราะจุดนี้เอง ผู้เขียนจึงอยากให้ทางการสร้างโรงทาน ไว้เพื่อประชาชน สองกลุ่ม คือ หนึ่ง กลุ่มผู้ยากจน ที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วในบ้านไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ สอง ผู้หวังบุญจะทำทาน ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยตามที่ท่านนิพัทธ์ท่านกล่าวถึง

การมีโรงทานเป็นทางการ ต้องมีอาหารให้ผู้มาคอยทุกวัน งบประมาณของทางการอาจจะไม่ต้องมาก เพราะประชาชนผู้หวังบุญจะมาช่วยบริจาคให้ น่าจะมากด้วย เพราะอะไร? เพราะว่าชาวพุทธเมืองไทยทุกวันนี้ เบื่อหน่ายพฤติกรรมของพระสงฆ์ ไม่อยากจะทำบุญถวายอาหารให้ เพราะกลัวจะไม่ได้บุญ ดังนั้น เมื่อพวกเขาเหล่านี้วันเกิดของเขาเวียนมาถึง เขาจึงเปลี่ยนแหล่งบุญที่สำคัญไปเสีย เขาจึงนำอาหารไปเลี้ยงคนชราที่บ้านพักคนชราบ้าง ไปเลี้ยงคนอนาถาตามที่ต่างๆ บ้าง ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปที่ต่างๆ ตามที่ กทม.กำหนดให้ ตามที่อ้างมาจากบทความของท่านพลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ในเรื่องคนไร้บ้าน ถามว่า เป็นความจริงไหมที่ว่า ทำบุญกับพระที่พฤติกรรมไม่ดี จะไม่ได้บุญเลย ขอตอบว่า ไม่เป็นความจริงเลย เพื่อยืนยันความจริงในเรื่องนี้ ขออ้างพระบาลีที่เชื่อกันสืบมาว่าเป็นพระพุทธพจน์ เฉพาะบาทต้นว่า สาวิตติ ฉันทโส มุขัง เป็นต้น แปลเป็นภาษาไทยทั้งหมด ได้ความว่า บรรดาฉันท์

ทั้งหลาย สาวิตติฉันท์ เป็นประมุข คือ เลิศกว่าฉันท์อื่นๆ ทั้งหมด บางท่านอาจจะไม่เข้าใจข้อความตรงนี้ คำว่าฉันท์ในที่นี้ หมายถึงคำประพันธ์ เหมือนคำกลอนของไทย ซึ่งเวลาแต่ง ถูกบังคับให้มีสัมผัส แต่คำฉันท์ในภาษาบาลี ถูกบังคับ ให้เป็นคำหนักคำเบา ท่านเรียกว่า ครุ ลหุ และที่ท่านว่า สาวิตติฉันท์ เป็นเลิศกว่าฉันท์อื่นๆ เพราะเป็นบทประพันธ์ ที่ผู้แต่งมีความสามารถอย่างยิ่งยวด กล่าวคือ สาวิตติฉันท์ เมื่ออ่านจากซ้ายไปขวา จะได้ความหมายอย่างหนึ่ง ถ้าอ่านจากขวามาซ้าย จะได้ความหมายอย่างหนึ่ง ถ้าอ่านจากบนลงล่าง จะได้ความหมายอย่างหนึ่ง และถ้าอ่านจากล่างขึ้นบน จะได้ความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง นี่คือความเลอเลิศของสาวิตติฉันท์

Advertisement

ขอเริ่มความใหม่ ดังต่อไปนี้ สาวิตติฉันท์ เป็นประมุขของฉันท์ทั้งหลาย พระราชา เป็นประมุขของมนุษย์ทั้งหลาย มหาสมุทรเป็นประมุข คือ ใหญ่กว่าแม่น้ำทั้งหลาย พระจันทร์เป็นประมุขของดวงดาวทั้งหมด กล่าวคือพระจันทร์ให้แสงสว่างมากกว่าดวงดาวทุกดวง พระอาทิตย์เป็นประมุขของแหล่งให้ความร้อนทั่วไป หมายถึงบรรดาความร้อนทั้งหลาย พระอาทิตย์เป็นแหล่งให้ความร้อนมากกว่าความร้อนทั้งหลายในโลก ภิกษุสงฆ์ ผู้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นประมุข คือเป็นแหล่งบุญ ของผู้ให้ทานเพื่อหวังบุญ มากกว่าแหล่งอื่นๆ ทั้งหมด

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบลีลา การเปรียบเทียบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างชาญฉลาด คือทรงชี้ให้เห็นว่า สาวิตติฉันท์ เป็นเลิศกว่าฉันท์อื่นๆ ฉันใด พระสงฆ์ก็เป็นเลิศ ในแหล่งการให้ทาน มากกว่าแหล่ง
อื่นๆ ฉันนั้น ฯลฯ พระอาทิตย์ให้ความร้อนมากกว่า แหล่งความร้อนอื่น ฉันใด พระสงฆ์ก็เป็นแหล่งให้บุญมากแก่ผู้ให้ทาน กว่าแหล่งอื่นๆ ทั้งหมด ฉันนั้น

อนึ่ง ชาวพุทธเมืองไทย ยังมีความเข้าใจผิดในการให้ทานอีกสองเรื่อง คือ บางคนเข้าใจว่า การให้ของกินแก่สัตว์เดรัจฉาน ไม่ได้บุญ สอง บางคนเข้าใจว่า การนำสัตว์ไปเลี้ยงที่บ้านได้บุญ สำหรับในข้อแรก เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ จึงขอยกพระไตรปิฎกมายืนยัน ดังต่อไปนี้ ในพระสูตรชื่อ ทักขิณาวิภังคสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 23 หน้า 394 พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ในการให้ทานแก่ผู้รับทานที่เป็นส่วนบุคคล ที่ชาวพุทธรู้กันทั่วไปว่า ปาฏิปุคคลิกทาน 14 จำพวกดังต่อไปนี้ คือ 1 ผู้ให้อาหารหรือของอื่นแก่สัตว์เดรัจฉาน จะได้ผลร้อยเท่า หมายความว่า ผู้ให้อาหารแก่สัตว์เดรัจฉาน เขาตายไปแล้ว จะไปเกิดในที่มีอาหารอย่างพอเพียง แก่เขาได้ร้อยชาติ 2 ให้อาหารแก่ปุถุชนผู้ไม่มีศีล เขาตายไปเขาจะได้ไปเกิดในภพที่อิ่มหนำได้พันเท่า นั่นคือเขาจะได้เกิดในภพที่เขามีกินได้พันชาติ 3 ให้อาหารปุถุชนผู้มีศีล เขาตายไปแล้ว จะได้ไปเกิดในภพที่อิ่มหนำถึงแสนชาติ 4 ให้อาหารในบุคคลนอกพระพุทธศาสนา ที่ปราศจากความกำหนัดในกาม เช่น พระฤาษีที่ได้อภิญญา เป็นต้น เขาตายไปแล้วจะได้ไปเกิดในสถานที่อิ่มหนำตลอดแสนโกฏิชาติ 5 ให้อาหารแก่บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเป็นพระอริยะขั้นต้น คือ พระโสดาบัน เขาตายไปแล้วจะได้ไปเกิดในภพที่อิ่มหนำนับชาติไม่ถ้วน เพียงได้เป็นพระอริยะขั้นต้น ก็ได้อานิสงส์นับชาติไม่ถ้วน ถ้าได้เป็นพระอริยะขั้นสูงขึ้น และจนถึงพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีกเลย ดังนั้นอย่าสงสัยอีกต่อไปเรื่องการให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน

Advertisement

สำหรับในข้อที่สอง ที่ว่านำสัตว์ไปเลี้ยงที่บ้านได้บุญนั้น ผิดความจริงทั้งหมด เพราะการนำสัตว์ไปเลี้ยงที่บ้าน แสดงว่ามีความรักสัตว์ตัวนั้น การเลี้ยงสัตว์ด้วยความรัก ทางพระพุทธศาสนาระบุว่า ไม่ได้บุญ เหมือนการเลี้ยงลูก ที่เลี้ยงด้วยความรัก บุญย่อมไม่มี แถมจะได้บาปด้วย เพราะอะไร? เพราะถ้าเอานกไปเลี้ยงแล้วขังไว้ในกรง นั่นจะเป็นบาปมากกว่า เพราะการกักขังไม่มีใครชอบทั้งคนและสัตว์ ดังนั้นขอให้รู้ไว้ว่า การเลี้ยงสัตว์แล้วปล่อยเป็นอิสระ เช่น การเลี้ยงหมา แมว เป็นต้น เป็นการเลี้ยงด้วยความรัก ไม่เป็นบุญกุศลแต่อย่างใด

ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ ผู้เขียนจึงเสนอให้ทางบ้านเมือง จะเป็นผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร หรือผู้นำรัฐบาลก็ตาม น่าคิดสร้างโรงทาน ให้เป็นหลักแหล่งที่แน่นอน เพื่อสงเคราะห์คนยากจน ที่หลบมาอยู่ในเมือง เพื่อหางานทำ บางครั้งหางานไม่ได้ เงินก็ไม่มี แล้วทำไงล่ะ? ท้องก็หิวทุกข์ทรมาน บางคนพาลูกหลานไปนั่งคอยที่เซเว่น เผื่อมีคนซื้อข้าวในเซเว่นกินแล้ว มาทิ้งภาชนะในถังขยะ เขาเหล่านั้น จะรีบไปหยิบมาดู ถ้าพอมีที่จะกินได้ นั่นแหละอาหารของพวกเขา (ข่าวทางทีวี) ขอยืนยันว่าคนดังกล่าวมีจริงๆ ในสังคมกรุงเทพฯ จึงขอวอนผู้มีอำนาจสร้างโรงทานเถิด เพื่อคนดังกล่าวมานั้น

ทวี ผลสมภพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image