ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : สภาสูง-สภาเตี้ย
การซักฟอกโดยไม่ลงมติ เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แม้เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า วุฒิสภาถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพันเป็น “ตัวเอก” ในการซักฟอกอย่างมีนัยสำคัญด้วย
ทั้งในแง่บุคคล
และในแง่วุฒิสมาชิกโดยตำแหน่ง อันประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
โดยในส่วนบุคคล มีบุคคลอย่างน้อย 2 คน คือ ส.ว.ทรงเอ และ ส.ว.น้องชายของคนใหญ่โตในบ้านเมือง ที่ถูกสปอตไลต์ฉายส่อง
คนแรกเกี่ยวพันกับ “ทุนสีเทา” ที่โยงใยทั้งเรื่องระหว่างประเทศ เรื่องอาชญากรรม ยาเสพติด
และเชื่อมโยงไปถึงคอนเน็กชั่นกับพรรคการเมือง ที่ควร “ต้องพิสูจน์” อย่างยิ่ง
ส่วนคนที่สอง เป็นเรื่องของ “ทายาท” ที่ถูกตั้งข้อสงสัย ว่าใช้ “นามสกุล” ของผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองไปหาประโยชน์จากการประมูลโครงการต่างๆ ของรัฐ โดยเฉพาะกองทัพ
ยิ่งกว่านั้นยังถูกจับโยงไปถึงทุนจีนสีเทา ว่าร่วมกันแสวงหาประโยชน์และร่วมสร้างอิทธิพลเป็นเกราะคุ้มกันการทำมาหากิน
ส่วนวุฒิสมาชิกโดยตำแหน่งอันประกอบ ด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น แม้ในแง่ส่วนบุคคลอาจไม่ได้เป็นปัญหา หรือถูกตั้งข้อสงสัยนัก
แต่กระนั้น “หมวกหลัก” ที่ ส.ว.เหล่านั้นสวมอยู่ คือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกฝ่ายค้านในสภาซักฟอกอย่างหนัก
เพราะทั้งกองทัพ โดยเฉพาะกองทัพบก กองทัพเรือ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกมองว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกับการ “ปฏิรูปองค์กร”
ทำให้เกิดปัญหากำลังพล การบริหารงาน การคอร์รัปชั่น ที่เชื่อมโยงไปถึงธุรกิจสีเทา อย่างน่าตื่นตะลึง
ซึ่งปัญหาทั้งในแง่บุคคล และทั้งโครงสร้างดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามต่อ “สภาสูง” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามว่า สภาสูงอันเป็นผลผลิต และผลสืบเนื่องจากการรัฐประหาร ที่ตั้งคณะกรรมการคัดเลือกและอนุมัติบุคคลในแวดวงเข้ามาดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ (บางคน) ได้ทำให้สภานี้สูงตามการเรียกขานหรือไม่
หรือยิ่งอยู่ ยิ่งทำให้ต่ำลง
นอกจากนี้ สภาสูงซึ่งมีส่วนในการผ่านและปกป้องรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เฉกเช่นไข่ในหิน ด้วยการอวดอ้างว่านี่คือรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่การปฏิรูปองค์กรต่างๆ ของชาติ และเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง
เอาจริงๆ แล้ว ทำได้หรือไม่
หรือตรงกันข้าม คนในสภาสูงกลับเป็นปัญหาและละเมิดสิ่งที่อวดอ้างเสียเอง
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีการเรียกร้องจากหลายภาคส่วนให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงส่วนที่เป็นปัญหา เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
กลับปรากฏว่า วุฒิสภากลายเป็นตัวขัดขวางมิให้มีการแก้ไขนั้นเสียเอง
และหนึ่งในสิ่งที่ปกป้องเอาไว้อย่างเหนียวแน่น และไม่ยอมให้หลุดลอยจากมืออย่างเด็ดขาด
นั่นก็คือ สิทธิที่จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
เมื่อไม่ยอมให้แก้ไข ก็ได้มีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆ ว่า ส.ว.ก็ควรโหวตเลือกนายกฯ โดยเคารพเสียงประชาชน
เมื่อประชาชนเสียงส่วนใหญ่มีฉันทามติเลือกพรรคการเมืองใดแล้ว ส.ว.ก็ควรให้ความเคารพกับประชามตินั้น
ไม่ใช่ ใช้ 250 เสียง (ที่มาจากการลากตั้ง) ไปเป็นฐานเสียงให้ใคร หรือพรรคการเมืองใด
แต่ดูเหมือนว่าเสียงเรียกร้องเหล่านี้ จะไม่ได้รับการใส่ใจ
ตรงกันข้าม กลับยิ่งมีการท้าทาย
เมื่อมี ส.ว.บางคนออกมาชี้นำว่า จะไม่เลือกใคร แถมจะล็อกเสียงสนับสนุนเอาไว้เฉพาะ 2 คนเท่านั้น
ทำให้ ส.ว.ถูกมองว่า ไม่ใช่สภาสูง
เป็นเพียงสภาเตี้ย หรือก๊วนคะแนนเสียง อันมากด้วยความอื้อฉาว เท่านั้น
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร