ความสัมพันธ์การทูตจีน-กัมพูชาครบรอบ 65 ปี นายกรัฐมนตรีฮุน เซน เยือนจีน เปิดศักราชใหม่ประชาคมจีน-กัมพูชา

ความสัมพันธ์การทูตจีน-กัมพูชาครบรอบ 65 ปี นายกรัฐมนตรีฮุน เซน เยือนจีน เปิดศักราชใหม่ประชาคมจีน-กัมพูชา

ในวาระครบรอบ 65 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-กัมพูชา นายกรัฐมนตรีฮุน เซนได้รับเชิญไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์

เป็นการเยือนจีนครั้งที่ 15 ของ “ฮุน เซน” ครั้งล่าสุดคือเมื่อ 3 ปีก่อน ขณะที่โควิด-19 กำลังระบาด เป็นอุปสรรคต่อการเจรจาราชการ บัดนี้เป็นการเยือนจีนตามคำมั่น และได้ร่วมกันเปิด
“ปีแห่งมิตรภาพจีน-กัมพูชา” เรียกว่า “ศักราชใหม่แห่งประชาคมจีนและกัมพูชาที่มีอนาคตร่วมกัน”

เพื่อทรงไว้ซึ่งภราดรภาพอย่างเป็นนิรันดร์

Advertisement

ทริปนี้ของ “ฮุน เซน” ทรงคุณค่ายิ่ง ได้รับการต้อนรับระดับ “ซุปเปอร์วีไอพี” พบรองนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อ เฉียง เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองของสองประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือได้พบประธานาธิดีสี จิ้นผิง

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ “สี จิ้นผิง” ประชุมระดับทวิภาคีกับ “ฮุน เซน” ณ “Diaoyutai State Guesthouse” โดยฝ่ายแรกได้เสนอกรอบแห่งความร่วมมือระหว่างสองประเทศรวม 6 ประเด็น ซึ่งจีนเรียกว่า “เพชร 6 เหลี่ยม” คือ การเมือง สมรรถนะการผลิต การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ ความปลอดภัย และมวลมนุษยชาติ

“สี จิ้นผิง” ให้คำมั่นว่า จีนจะช่วยเหลือกัมพูชาเป็นเงินจำนวนประมาณ 300 ล้านหยวน (ประมาณ 43 ล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนโครงการสร้างทางรถไฟความเร็วสูง อันเป็นการสืบสานปณิธาน “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ทั้งนี้ โดยทำการสร้างตั้งแต่ตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเชื่อมต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นการเปิดเส้นทางแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

Advertisement

“ฮุน เซน” เห็นด้วยทุกประการอันเกี่ยวกับโครงสร้าง “เพชร 6 เหลี่ยม” และหวังอย่างยิ่งว่า ในโอกาสอันครบรอบ 65 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมสร้าง “ระเบียง” แห่งการพัฒนาอุตสาหกรรมและข้าวปลาอาหาร อีกทั้งสนับสนุนการริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” เป็นต้น ล้วนเป็นการตอบสนองในมุมบวก เปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์ ได้ประโยชน์ เป็นคุณด้วย

“ฮุน เซน” เห็นพ้องกับ “เป้าหมายสังคมนิยมสมัยใหม่” ทุกประการ

“สี จิ้นผิง” คัดค้าน “การผันแปรการค้า เทคโนโลยีให้เป็นการเมือง” และต่อต้าน “พฤติกรรมตัดขาดซึ่งห่วงโซ่”

“ฮุน เซน” ก็เห็นชอบด้วยทุกประการ และยอมรับเต็มตาม “อินวอยซ์”

นอกจากนี้ “ฮุน เซน” ยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างจีน-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงได้เน้นย้ำว่า RCEP คือ “หนึ่งร่างเดียวกัน” ของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ภายใต้ข้อตกลงนี้ จีน-กัมพูชาควรต้องยกระดับความร่วมมือของห่วงโซ่แห่งการผลิต จีนมีความยินดีที่จะทำการผลักดันให้เพิ่มปริมาณการส่งออกสินค้าการเกษตรไปยังจีนให้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือทางการผลิตและการลงทุน อีกทั้งยกระดับมาตรฐานเกี่ยวกับการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ฯลฯ

ทั้งนี้ เป็นการผลักดันให้กัมพูชาเข้าสู่อาณาจักรเศรษฐกิจสีเขียวอีกโสตหนึ่ง

หากย้อนกลับในห้วงเวลาการระบาดของโควิด-19 “ฮุน เซน” ยืนยันใช้วัคซีนของจีน รักเดียวใจเดียว ไม่แปรเปลี่ยน ในที่สุด กัมพูชากลายเป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้ที่มีจุดยืนเดียวกันกับจีน

ท่ามกลางประเทศจีนได้ตกอยู่ภายใต้วงล้อมของตะวันตก สิ่งที่ “ฮุน เซน” มีต่อจีนคือ “มิตรไมตรี”

ปฏิเสธมิได้ว่า “ฮุน เซน” เป็นนักการเมืองที่มากด้วยประสบการณ์ และเป็นคนฉลาด

คำที่ตรงข้ามกับ “คนฉลาด” คือ “คนโง่”

นักเขียนบทละครชาวรัสเซียนาม “เดนิส ฟอนวิชัน” กล่าวไว้ว่า “คนโง่คือภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ” คืออมตะวลี ที่เตือนสติและให้ข้อคิด โดย “ฟอนวิชัน” ใช้คำว่า “Kakistocracy” หมายถึง เมี่อประเทศถูกปกครองด้วยคนโง่

ฉะนั้น จึงเป็นประจักษ์ว่า “ฮุน เซนมิใช่คนโง่ที่มีอำนาจ” กัมพูชาจึงมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ

การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง ยังประกอบด้วยคณะนักธุรกิจน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก

หลังจากที่คณะของ “ฮุน เซน” เสร็จสิ้นภารกิจการเยือนจีนและเดินทางกลับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ รุ่งขึ้นวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ก็มีเจ้านายของราชวงศ์กัมพูชา เสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน โดยเป็นอาคันตุกะของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี และพระราชชนนีได้เสด็จประพาสกรุงปักกิ่ง โดยเครื่องบินส่วนพระองค์

จึงสามารถกล่าวได้ว่า ประเทศกัมพูชาสนับสนุนการรังสรรค์มิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างจีน-กัมพูชา

แต่มิได้หมายความว่า กัมพูชาโน้มเอียงไปที่จีนเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างจีน-กัมพูชาดำรงมาเป็นเวลา 65 ปี ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา

หากย้อนมองอดีตกาล ขณะที่พระองค์ทรงประทับ ณ กรุงปักกิ่ง และมีความสนิทชิดใกล้กับ “เหมา เจ๋อ ตง” อดีตผู้นำสูงสุดรุ่นที่ 1 โดยได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่บนสเตเดียม ณ จัตุรัสเทียน อัน เหมิน เพื่อร่วมฉลองวันชาติจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี เป็นการแสดงออกถึงความเป็นกัลยาณมิตร และได้รับเกียรติอย่างสูงจากจีน

หลังจากพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เสด็จสวรรคต สมเด็จพระราชินีก็ยังมิทรงลืมสหายเก่า จึงต้องเสด็จประพาสปักกิ่งเป็นประจำทุกปีเสมอไป

หากสรุปโดยรวม การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของคณะ “ฮุน เซน” ครั้งนี้ ถือว่าสมบูรณ์พูนผล

“ฮุน เซน” เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีเครดิตอย่างสูง สูงเพราะเหมือนกับนักมวยชกข้ามรุ่น หากจะกล่าวตามพิธีทางการทูต เรื่องใหญ่ประเด็นหลัก ต้องนายกฯคุยกับนายกฯ จึงจะคู่ควรกัน แต่กลับกลายเป็น “สี จิ้นผิง” คือ “ผู้รับเหมา” ส่วนที่คุยกับนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงนั้น ดูเหมือนเป็นปฏิบัติการอย่างเสียไม่ได้ เพราะต้องธำรงไว้ซึ่งประเพณีทางการทูต
ต้องยอมรับว่า “ฮุน เซน” เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีต้นทุนทางการเมืองสูง อันมีความแตกต่างกับนายกรัฐมนตรีบางคน ซึ่งละม้ายกับ “ขนมจีนเปล่า” จานหนึ่งเท่านั้น

แม้ “ฮุน เซน” ต่างระดับกับ “สี จิ้นผิง” คนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี คนหนึ่งเป็นประธานาธิบดี แต่ “ฮุน เซน” ก็มี “ลักษณ์” อันเป็น Somebody (บุคคลสำคัญ) มีวุฒิภาวะของการเป็นผู้นำ ปฏิบัติตนสมแก่ฐานานุรูป ดูสง่ามีราศี ไม่มีท่าทางเหมือนชะมดติดจั่นหรือกังหันต้องลม

สรรเสริญ ชมเชยไม่พอ ต้องสดุดีด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image