สถานีคิดเลขที่ 12 : ภารกิจก้าวไกล

สถานีคิดเลขที่ 12 : ภารกิจก้าวไกล

ในเฟซบุ๊กก้าวไกลมีข้อความระบุภารกิจใหม่ของก้าวไกล

บอกเล่าว่า เป้าหมายการสร้างพรรค คือ การเปลี่ยนแปลงประเทศให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน มีเศรษฐกิจเติบโตและเป็นธรรม ประชาชนมีเสรีภาพ เท่าเทียม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

วิธีการเดินไปถึงเป้าหมาย 4 ด้าน คือ หนึ่ง ปักธงทางความคิด เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จได้ ความคิดประชาชนต้องเปลี่ยนก่อน

Advertisement

สอง เชิญชวนผู้ที่เห็นด้วยร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลง

สาม ส่งตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะทุกการเลือกตั้งคือโอกาสการเปลี่ยนแปลง

และสี่ สร้างพรรคให้เข้มแข็ง กลายเป็นสถาบัน เรียกว่า “พรรคของมวลชน” โดยมีองค์ประกอบ คือ มีแนวคิด และอุดมการณ์ สร้างการเปลี่ยนแปลง และมีโครงสร้างอำนาจในพรรคที่ยึดโยงกับสมาชิก

Advertisement

ตอนท้าย พรรคก้าวไกลบอกว่า “เราตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นยาก และต้องใช้เวลา อาจจะเป็น 10 ปี 20 ปี หรือนานกว่านั้น พรรคจึงต้องเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์และต้องไม่ขึ้นกับตัวบุคคลคนใดคนหนึ่ง”

แนวคิดการเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้เวลานานนี้สอดคล้องกับถ้อยคำอภิปรายของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กระจายอยู่ในโลกโซเชียล

เขาพูดถึงทัศนคติแบบราชสีห์

“เราไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด เราไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคที่เร็วที่สุด เราไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคที่ฉลาดที่สุด แต่เราต้องเป็นพรรคที่มีทัศนคติเป็นนักสู้ที่สุด มีทัศนคติแบบราชสีห์”

“ทัศนคติแบบนี้เท่านั้นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรของเรา ให้กับสังคมของเรา ให้กับบ้านของเรา ให้กับภูมิภาคของเรา”

“แล้วในที่สุดก็จะเปลี่ยนให้ประเทศไทยได้”

การเปลี่ยนแปลงประเทศ คือ ความปรารถนาของประชาชนที่แสดงเจตจำนงผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว

แม้ว่าจนถึงบัดนี้จะยังไม่มีการรับรอง ส.ส. แม้จะมีความเชื่อว่านายพิธาอาจโดนสอยจากคำร้องหนึ่งคำร้องใดที่บรรดานักร้องทยอยไปยื่น

แม้จะมีกระแสข่าวว่า ส.ว.จะโนโหวต ส่งผลให้นายพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

และแม้จะมีข่าวอยู่เป็นระยะว่าพรรคก้าวไกลเองก็อาจจะต้องระเห็จจากขั้วรัฐบาลไปอยู่ฝ่ายค้าน

แต่สิ่งที่นายพิธา และพรรคก้าวไกล เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ คือ การใช้โอกาสที่พอทำได้ เริ่มเปลี่ยนแปลงประเทศ

เมื่อมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาลก็ใช้วิธีการเอ็มโอยูพรรคร่วม เพื่อนำไปสู่การแบ่งภารกิจ เพื่อทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้

กลายเป็นวิถีใหม่สำหรับไทยในการตั้งรัฐบาลผสม

เมื่อมีโอกาสได้ทำงาน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็ออกมาลุยส่วยสติ๊กเกอร์ตามที่เคยรับปากไว้กับสหพันธ์ขนส่งทางบกฯ

ทั้งนายพิธา และพรรคก้าวไกล เริ่มทำงานทันที ขณะเดียวกันก็พร้อมหยุดทำงานในฐานะ ส.ส. ในฐานะรัฐบาล หากต้องสะดุดจากปัจจัยต่างๆ

แต่สิ่งที่คาดว่าจะไม่ยอมหยุด คือ การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย

เหมือนกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดนสอยจาก ส.ส. เหมือนกับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ต้องเว้นวรรค เหมือนกับพรรคอนาคตใหม่ ที่โดนยุบ

หรือว่าทุกคนล้วนมีทัศนคติแบบที่นายพิธาเคยปราศรัยอธิบายไว้

“พรรคก้าวไกลต้องเป็นพรรคที่มีทัศนคติเป็นนักสู้ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรของเรา ให้กับสังคมของเรา ให้กับบ้านของเรา ให้กับภูมิภาคของเรา แล้วในที่สุดก็จะเปลี่ยนประเทศไทยได้”

นี่คือทัศนคติที่นายพิธาเรียกว่า “ทัศนคติแบบราชสีห์”

ทัศนคติที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นไปตามที่ประชาชนต้องการให้เกิดขึ้น

วันนี้ทัศนคตินี้อาจเป็นของนายธนาธร นายปิยบุตร นายพิธา แต่วันข้างหน้าใครจะไปรู้ พรรคก้าวไกลอาจจะมีทัศนคติแบบนี้

ทัศนคติแบบราชสีห์ ทัศนคติแบบนักสู้เพื่อปฏิรูปประเทศสู่ประชาธิปไตย

นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image