ป้อมที่ว่านี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะคะ แต่เป็นเรื่องของป้อมปราการแห่งคุณธรรมที่สังคมไทยเคยให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ ดังคำสอนที่ปลูกฝังกันมานมนานว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน แต่มาเดี๋ยวนี้มีคำถามเกิดขึ้นในใจใครหลายๆ คนว่า เราจะได้อะไรจากการเป็นคนซื่อสัตย์ ในเมื่อข่าวสารที่แพร่ออกมาในโลกทุกวันนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ทำให้เห็นว่าคนโกงได้ดี คนดีได้แต่ทนทุกข์ อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลยในประเทศที่ยิ่งใหญ่ในโลกก็ยังมีผู้นำที่สามารถเป็นใหญ่ได้ทั้งๆ ที่โกหกคำโตๆ ตลอดเวลา
มีคนเคยถามผู้เขียนว่าคนไทยซื่อสัตย์แค่ไหน ในเรื่องนี้เราสามารถใช้งานวิจัยเป็นคำตอบใต้การศึกษาโดยเฉพาะของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2561 ที่ใช้ตัวอย่างกว่า 60,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ ได้ตั้งคำถามกับคนไทยทั่วประเทศว่า ถ้าทำกระเป๋าสตางค์หายท่านคิดว่าจะได้คืนหรือไม่ ร้อยละ 58 ตอบว่าไม่ได้คืนแน่นอน อีกร้อยละ 12 บอกว่าได้คืนแน่ แต่ที่เหลือคือผู้ที่ตอบว่าไม่แน่ใจ
และยังมีการสำรวจโดย ศ.ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งศึกษาเรื่องนโยบายสาธารณะและความพอใจในชีวิตของคนไทย 4.0 ให้แก่แผนงานคนไทย 4.0 ซึ่งได้ไปสัมภาษณ์คนไทยกว่า 2,400 คน ว่า “ท่านเคยลอกการบ้านหรือไม่” ประมาณร้อยละ 48 ตอบว่าเคยลอกเป็นบางครั้ง และอีกร้อยละ 21 ตอบว่าลอกเป็นประจำ รวมแล้วก็เกือบร้อยละ 70 ส่วนการลอกข้อสอบนั้นมีอัตราต่ำกว่า คือ ลอกข้อสอบเป็นบางครั้งร้อยละ 29 ลอกข้อสอบเป็นประจำร้อยละ 10 รวมกันก็ร้อยละ 40 ที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่ว่าคนไทยไม่ค่อยจะซื่อสัตย์ แต่เป็นเรื่องคนไทยคงไม่ค่อยจะมีความรู้จริง แม้ว่าภาครัฐจะได้ทุ่มเทงบประมาณไปมากมายเกี่ยวกับเรื่องการให้การศึกษากับคนไทย
แต่อย่าเพิ่งตกใจ สถิติของความไว้วางใจของไทยนี้ไม่ร้ายแรงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ รอบบ้านเรา World Value Survey ในปี 2553-2557 ได้ทำการสำรวจประเภทต่างๆ แล้วถามคำถามว่า ท่านคิดว่าคนส่วนใหญ่ไว้ใจได้แค่ไหน ประเทศที่ตอบว่าคนส่วนใหญ่ไว้ใจได้สูงสุดคือประเทศเนเธอร์แลนด์ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 66 ส่วนประเทศไทยตอบว่าไว้ใจได้เพียงร้อยละ 32.1 ถึงจะต่ำกว่าสิงคโปร์ที่ร้อยละ 37 แต่ก็ใกล้เคียงกับอัตราส่วนของสหรัฐอเมริกาที่ร้อยละ 34.8 และที่สำคัญก็คือสัดส่วนของไทยสูงกว่ามาเลเซียซึ่งสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 8.5 และฟิลิปปินส์มีอัตราส่วนต่ำมากอยู่ที่ร้อยละ 3.2!!
ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคะแนนความซื่อสัตย์ของคนไทย ก็ดูจะเหมือนว่าคนไทยเริ่มสนใจคุณธรรมด้านความซื่อสัตย์ลดลง ศูนย์คุณธรรมของรัฐได้สำรวจให้คนไทยจัดลำดับความสำคัญของคุณธรรม 4 ประการคือ ความพอเพียง ความซื่อสัตย์สุจริต จิตสาธารณะ การมีวินัยและความรับผิดชอบ ผลปรากฏว่ากลุ่มเบบี้บูมคือกลุ่มเกษียณแล้วจัดลำดับความสุจริต จิตสาธารณะ และความพอเพียงว่าเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญมากที่สุด ในขณะที่เจเนอเรชั่นอื่นๆ เช่น เจนเอ็กซ์ให้ความสำคัญกับวินัยและความรับผิดชอบเป็นคุณธรรมที่สำคัญกว่า แต่พอมาถึงเจนวายกับเจนแซดกลับให้ความสำคัญในลำดับน้อยถึงน้อยมากสำหรับคุณธรรมทั้ง 4 ประการที่รัฐบาลไทยพยายามสนับสนุน หมายความว่าคุณธรรมดั้งเดิมเช่น ความซื่อสัตย์เริ่มมีความสั่นคลอนในฐานะเสาหลักหนึ่งในวัฒนธรรมไทย
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็ให้ไว้แต่ข้างต้นแล้วว่ามีตัวอย่างให้เห็นเป็นจำนวนมากว่าโกงแล้วได้ดีมากกว่าซื่อสัตย์แล้วได้ดี แล้วเราจะดีไปทำไม ทุกวันนี้ปัญหาความไม่ซื่อสัตย์สุจริตนั้นแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แม้แต่ปราการทางศีลธรรมเช่น วัด โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ล้วนแต่มีข่าวอื้อฉาวของการทุจริต ส่วนตำรวจผู้รักษากฎหมายนั้นไม่ต้องพูดถึงเป็นผู้ทุจริตเสียเอง ทั้งตบทรัพย์ ลักพาตัว โกงกิน ตามที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้กรุณาเผยแพร่ กลายเป็นความจริงที่ทางการปฏิเสธไม่ได้ ทำให้คนทั่วไปไม่มีความเชื่อมั่นในการรักษาคุณธรรมเรื่องความซื่อสัตย์และไม่มีความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลและคำพูดอันสวยหรูของผู้นำ ยิ่งใกล้ฤดูเลือกตั้งก็ยิ่งเห็นการให้สัญญาอย่างไม่กระดากปากตัวเองว่าจะเพิ่มรายได้ให้ประชาชนเท่านั้นเท่านี้ (โดยใช้เงินภาษีของราษฎร) เพื่อดึงดูดให้สามัญชนคนไทยหลงเชื่อว่าจะได้รายได้เพิ่มขึ้นเท่านั้นเท่านี้ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน ก็ยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าความไม่ซื่อสัตย์ต่างหากที่น่าจะเป็นหนทางไปสู่ความยิ่งใหญ่ทางการเมืองและความสำเร็จในการประกอบอาชีพ
ที่น่าเจ็บปวดกว่าคำสัญญาพล่อยๆ ก็คือ แต่ก่อนนี้การฉ้อราษฎร์บังหลวงมักเป็นการตบทรัพย์คนมีฐานะหรือคนที่ให้สินบนเพื่อไปแสวงหาประโยชน์กับตัวเอง เช่น การให้สินบนเพื่อพยายามที่จะฮั้วประมูล รับเงินใต้โต๊ะจากการทำมาหากิน การฉ้อราษฎร์บังหลวงในปัจจุบันนั้นเป็นการฉ้อราษฎร์ที่ลงไปเบียดบังคนตัวเล็กตัวน้อย แต่ทุกวันนี้มีแม้กระทั่งโกงเบี้ยเลี้ยงคนพิการ โกงคนแก่ หรือโกงอาหารกลางวันของเด็ก หลอกชาวบ้านไปเปิดบัญชีม้า นอกจากจะโกงอย่างไม่มีศีลธรรมแล้วยังโกงอย่างโหดเหี้ยมที่สุดกับคนที่ลำบากที่สุดด้วย
คําถามต่อไปก็คือว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คงต้องตอบว่าระบบธรรมาภิบาลของไทยอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในขณะที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมต่างๆ ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เราใกล้จะถึงจุดที่จิ้มไปตรงไหนก็เจ็บที่นั่นแล้ว แม้แต่เรื่องที่ไม่สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น การได้ตำแหน่งทางวิชาการก็ยังกลายเป็นเรื่องที่สามารถนำไปหาผลประโยชน์ได้ เมื่อไม่มีการตรวจสอบและลงโทษ ผลประโยชน์ที่ได้จากการโกงก็ย่อมสูงกว่าต้นทุนมากจึงเป็นแรงจูงใจให้คนจำนวนหนึ่งเห็นผิดเป็นชอบ ลามปามไปทั้งประเทศ ในที่สุดแล้วระบบคุณธรรมของเราก็จะกลายเป็นป้อมปราการที่กำลังทลายลงมา!!
มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด