ผลสรุปจากการประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่เผยแพร่ผ่านการแถลงของนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะประธาน สะท้อนภาพของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย ซึ่งอาจจะได้รับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มเติมจากปรากฏการณ์เอลนิโญที่จะส่งผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรและราคาสินค้าในระยะข้างหน้า และเรื่องอื่นๆ เช่น ค่าแรง
สำหรับภัยแล้งนั้น กกร.มีความกังวล เพราะมีผลกระทบในระดับสูงต่อภาวะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้าในปีนี้ กระทั่งคาดการณ์กันว่า อาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 36,000 ล้านบาท เรื่องดังกล่าวทำให้ กกร.ทำหนังสือส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา เสนอให้เร่งจัดทำมาตรการรับมือภัยแล้ง ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว ซึ่งภัยแล้งรวมไปถึงอุทกภัยถือเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศ ภาครัฐควรบูรณาการแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
การบริหารจัดการสถานการณ์ต่างๆ ในช่วงที่รัฐบาลเก่ากำลังหมดอำนาจและรัฐบาลใหม่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขณะนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีอำนาจลดลง เพราะเป็นเพียงรัฐบาลรักษาการ การใช้งบประมาณต้องประสานขอจากคณะกรรมการเลือกตั้ง ขณะที่บรรดาข้าราชการเจ้าหน้าที่ก็อยู่ในภาวะเกียร์ว่าง เพราะไม่ทราบว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะมีนโยบายเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า หากการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งช้า สามารถส่งผลกระทบไปถึงแต่ละภาคส่วน แม้ว่าหลายคนบอกว่าแค่ 60 วัน แต่ระยะเวลา 2 เดือนในช่วงที่โลกเกิดสถานการณ์หลายหลากขึ้น ย่อมถือว่าการจัดตั้งรัฐบาลของไทยยังช้าอยู่ นี่ยังไม่รวมถึงด่านที่นายพิธาเองบอกไว้ว่าประกอบด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ และวุฒิสภา ซึ่ง กกร.เองก็เป็นห่วงว่าความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลอาจจะกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดม็อบขึ้นมาอีกครั้ง
อนาคตเศรษฐกิจไทยจึงขึ้นอยู่กับทุกฝ่าย โดยเบื้องต้นสมควรเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ตามความต้องการของประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่เข้าไปทำหน้าที่แก้ไขปัญหาที่อาจเป็นภัยต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันการเมืองเองก็ต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังโดยไม่สร้างเงื่อนไข หรือทำตัวให้กลายเป็นภัยต่อเศรษฐกิจเสียเอง
