ผู้เขียน | เดินหน้าชน |
---|
การเมืองยังฝุ่นตลบ ขอหลบไปพักเรื่องต้นไม้และป่าเขียวๆ ให้ใจร่มๆ บ้าง
ขณะนี้ ต้นไม้และป่านั้นมีความสำคัญหลากมิติ และมีผลกระทบกว้างขวาง ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งการดำรงชีวิตของมนุษย์ สังคม และเศรษฐกิจ
ทั่วโลกให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อนมากขึ้น ด้วยเพราะได้เห็นความเสียหายชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติที่สุดโต่งในประเทศต่างๆ ทั้งน้ำท่วมหนัก หรือร้อนแล้งรุนแรง
ล่าสุด ปรากฏการณ์เอลนิโญ ที่หลายฝ่ายคาดกันว่าครั้งนี้จะแล้งหนักยาวนาน กระทบชิ่งไปหลายส่วน ไม่ว่าจะวิถีการดำรงชีวิต หรือผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย
แม้กระทั่ง การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เมื่อคลองปานามาแห้ง เรือสินค้าต้องลดระวางบรรทุกเพื่อแล่นผ่านไปได้ ทำให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่ม
หลายประเทศให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในวิธีรับมือคือ การปลูกป่า
ประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย เริ่มปลูกป่ามากขึ้น นำโดยซาอุดีอาระเบีย ที่ชูวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 มีแผนสร้างเมืองใหม่ชื่อว่า “นีอุม” มีโครงการปลูกต้นไม้กว่า 1 หมื่นล้านต้น
อีกทั้ง จะขยายไปยังกลุ่มประเทศคาบสมุทรอาหรับ 6 ประเทศ ร่วมปลูกต้นไม้รวม 50,000 ล้านต้น
ถือเป็นโอกาสดีของไทยในการส่งออกต้นไม้ไปขายซาอุฯแล้วกว่า 2 แสนต้น สร้างรายได้ให้กับประเทศ
การปลูกป่ายังผูกโยงกับการค้าระหว่างประเทศ โดยสหภาพยุโรป (อียู) ออกมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) เก็บภาษีสินค้านำเข้าที่ปล่อยคาร์บอนสูง เริ่ม 1 ตุลาคมนี้
ส่วนสหรัฐก็มีเสนอร่างกฎหมาย Clean Competition Act (CCA) เก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูงเช่นกัน
เรื่องภาวะโลกร้อน ถูกกำหนดเป็นเงื่อนไขต่างๆ มากขึ้น เพื่อบีบทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประเทศต่างๆ ต้องปรับตัว
สำหรับประเทศไทยนั้น ให้ความสำคัญกับการปลูกป่ามาต่อเนื่อง โดยมีนโยบายเพิ่มพื้นที่ที่สีเขียวให้ได้ 55% ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ ป่าชุมชน
โดยเฉพาะป่าชุมชนมีแล้วกว่า 1.2 แห่ง พื้นที่กว่า 6.6 ล้านไร่คาดว่าจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ราว 6.27 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี
การปลูกป่าโดยอาศัยลำพังเพียงหน่วยงานรัฐคงยากจะสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือทั้งภาคเอกชนและชุมชน
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเอกชนรายหนึ่งที่เริ่มปลูกป่ามานานร่วม 30 ปีแล้ว
ย้อนไปเมื่อปี 2537 ปตท.เริ่มปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 จำนวน 1 ล้านไร่ โดยบรรลุเป้าหมายเมื่อปี 2545 รวม 419 แปลงใน 48 จังหวัดทั่วประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้ ปตท.คิกออฟโครงการ จุดพลังชีวิต พลิกผืนป่า1 ต้นกล้า สู่ป่าล้านที่ 2 ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ และชุมชน ปลูกต้นไม้ 4,500 ต้น ที่แปลงปลูกป่า เขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าวังเพลิง ป่าม่วงค่อมและป่าลำนารายณ์ จ.ลพบุรี
กำหนดเป้าหมายพื้นที่ปลูกป่ารวม 86,173 ไร่ทั่วประเทศ พร้อมขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER)
ปตท.ตั้งเป้าปลูกป่าเพิ่มอีก 1 ล้านไร่ รวมกับบริษัทในเครืออีก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 เมื่อรวมกับพื้นที่ปลูกป่า 1 ล้านไร่ก่อนหน้านี้ ทำให้พื้นที่ปลูกป่าของกลุ่ม ปตท.มีรวมกว่า 3 ล้านไร่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ประมาณร้อยละ 20 ของปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ ปตท. ซึ่งจะมีศักยภาพในการดูดซับมากกว่า 4.15 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ช่วยขยับไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายใน 2593
นอกจากนี้ ผืนป่าที่ฟื้นฟูกลับมา ยังเป็นแหล่งต้นน้ำ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนมูลค่าหลายล้านบาทต่อปีด้วย
จะเห็นว่าป่าไม้มีความสำคัญในหลายมิติ ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและร่วมมืออย่างจริงจัง เพื่อดึงความสมดุลทางธรรมชาติกับมนุษย์ไม่ให้ถ่างมากไปกว่าเดิมอีก
สราวุฒิ สิงห์เอี่ยม