สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเจอหน้ามิตรสหายที่เคยร่วมงานกัน มีข้อมูลอยู่ว่า เธอมีโรคประจำตัวคือเบาหวาน ต้องใช้การฉีดอินซูลิน เธอเล่าว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาลืมตัวกินลำไยไปเกือบสองกิโลกรัม แต่เกิดภาวะน้ำตาลตก มีอาการวูบ คิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว จึงได้ให้คำแนะนำในการดูแลตนเองเพื่อลดความรุนแรงจากโรคและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
เบาหวานคือภัยเงียบ
เบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาของทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย โดยสถานการณ์โรคเบาหวานทั่วโลกในปี 2564 มีผู้ป่วยจำนวน 537 ล้านคน และคาดว่าในปี 2573 จะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นเป็น 643 ล้านคน และโรคเบาหวานมีส่วนทำให้เสียชีวิตสูงถึง 6.7 ล้านคน หรือเสียชีวิต 1 ราย ในทุกๆ 5 วินาที จากรายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยพบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 3 แสนคนต่อปี และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่ในระบบทะเบียน 3.3 ล้านคน ในปี 2563 มีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งหมด 16,388 คน (อัตราตาย 25.1 ต่อประชากรแสนคน) ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขในการรักษาโรคเบาหวานเฉลี่ยสูงถึง 47,596 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ โรคเบาหวานยังคงเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ในกลุ่มโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง และโรคไตวายเรื้อรัง ฯลฯ หนึ่งในโรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่เกิดจากโรคเบาหวาน คือโรคไตเรื้อรัง โดยพบความชุกของโรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานของไทย ในปี 2565 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 1 ใน 25 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงกลายเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังรายใหม่ มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 3 จำนวน 420,212 ราย ระยะ 4 จำนวน 420,212 ราย และระยะที่ 5 ที่ต้องล้างไตมากถึง 62,386 ราย
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติในการผลิต หรือตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพและทำงานล้มเหลว เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตาสูญเสียการมองเห็น ไตวายเรื้อรัง หัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ชาปลายมือปลายเท้า รวมถึงเป็นแผลหายยาก บางรายอาจจำเป็นต้องตัดขา
โรคเบาหวาน : สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ที่มีอาการ สาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาต่างกันได้ ประเภทที่ 1 : เบาหวานชนิด “พึ่งอินซูลิน” เป็นชนิดที่พบได้บ่อยแต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 25 ปี แต่ก็อาจพบในคนสูงอายุได้บ้าง สาเหตุ “ตับอ่อน” ของผู้ป่วยชนิดนี้ได้เสียไปจึงสร้างอินซูลินไม่ได้เลย หรือสร้างได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างแอนติบอดีขึ้นต่อต้านทำลายตับอ่อนของตัวเองจนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ เรียกว่า “โรคภูมิต้านตัวเอง” หรือ “ออโตอิมมูน” ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ร่วมกับการติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษจากภายนอก ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนร่างกายทุกวันจึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้นร่างกายจะหันไปเผาผลาญไขมันแทนจนทำให้ร่างกายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นรุนแรงจะมีการคั่งของสาร
“คีโตน” (Ketones) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้ผู้ป่วยหมดสติถึงตายได้ เบาหวานประเภทที่ 2 : เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน เป็นเบาหวานที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อยพบได้ทุกวัย มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่อาจพบในเด็กหรือวัยรุ่นหนุ่มสาวได้ ตับอ่อน ของผู้ป่วยชนิดนี้ยังสามารถสร้างอินซูลิน แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงทำให้มีน้ำตาลที่เหลือใช้อยู่ในกระแสเลือดกลายเป็นเบาหวานได้ โรคนี้เกิดจาก “ตับอ่อน” สร้างฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ได้น้อยหรือไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่คอยช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลให้เป็น “พลังงาน” เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอเพียงหรือมีพอแต่ใช้ไม่ได้ น้ำตาลไม่ถูกนำมาใช้จึงเกิดเป็นการคั่งของน้ำตาลในเลือด และอวัยวะต่างๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็อาจถูกไตกรองออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน หรือมี “มด” ขึ้นได้ จึงเรียกว่า “เบาหวาน”
เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ต้องกินยาและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อจะได้มีชีวิตเหมือนคนปกติ แต่ถ้ารักษาไม่จริงจังมีอันตรายจากโรคแทรกซ้อนได้มากจึงควรต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ โดยใช้หลักของปิงปองจราจรชีวิต 7 สี มาตรการส่งเสริมสุขภาพ “3 อ 3 ลด” ปกติกลุ่มเสี่ยงอ่อน (ขาว, เหลืองอ่อน) วัดความดันปีละ 2 ครั้ง กลุ่มป่วย เขียวเข้ม เหลือง ส้ม แดง ดำ ต้องวัดความดันทุกวัน เจาะเบาหวาน กินยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง
การป้องกันเพื่อไม่ให้เป็นเบาหวานดีที่สุดสำหรับการป้องกันโรคเบาหวานควรปฏิบัติ คือ 1.เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ ลดอาหารประเภทหวาน มัน เค็ม 2.ควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง 3.ทำจิตใจให้แจ่มใส นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน 4.ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 5.ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพทุกปี
ผู้เขียนขอให้กำลังใจผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการลด ลดเหล้า บุหรี่ ออกกำลังกาย กินอาหารครบ 5 หมู่ ลดหวาน มัน เค็ม สร้างอารมณ์ดีสม่ำเสมอนั่นคือ “3 อ 3 ลด เป็นวัคซีนชีวิต” สร้างได้เองด้วยตัวเรา ที่สำคัญป้องกันโรคเบาหวาน และลดความรุนแรงของคนที่เป็นโรคเบาหวานได้ดีเยี่ยม เพราะจะเป็นยาที่วิเศษช่วยทำให้เรามีคุณภาพชีวิตดีและมีอายุยืนได้ถึง 80 ปี ในที่สุดไงเล่าครับ
นพ.วิชัย เทียนถาวร