ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
กลยุทธ์ทางการเมือง
การประชุมสุดยอดผู้นำ 20 ประเทศ (G20) ที่กรุงนิวเดลี อินเดีย ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ขาดประชุมเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ โดยมอบให้นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงนำคณะไปร่วมประชุมแทน
กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ เวิลด์”
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนหวังว่าจะได้พบกับ “สี จิ้นผิง” แต่ไม่ได้พบ จึงเปิดเผยต่อสาธารณะว่า “ผิดหวัง”
ทั้งสองผู้นำได้พบกันครั้งล่าสุดคือ การประชุม G20 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 ณ อินโดนีเซีย
แม้ “สี จิ้นผิง” ไม่ร่วมการประชุม เกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่สังคมมองว่า อาจจะกระทบต่อสัมพันธไมตรีระหว่างจีน-สหรัฐที่ดูเหมือนกำลังจะคลี่คลายความตึงเครียดลงไปนั้น กลับระอุขึ้นมาอีกวาระหนึ่ง
แต่เชื่อว่า การที่ “สี จิ้นผิง” ไม่ได้พบกับ “โจ ไบเดน” คงไม่มีผลกระทบมากนัก
แม้ข่าวจากรัฐบาลจีนแจ้งว่า “สี จิ้นผิง” ไม่ร่วมประชุมที่อินเดีย เพราะต้องอยู่ในประเทศเพื่อบัญชาและติดตามการกู้อุทกภัย และรอต้อนรับประธานาธิบดีเวเนซุเอลา และแซมเบีย ส่วนสุขภาพร่างกายปกติ
แต่โครงสร้างการทูตของจีน หลายด้านคือเวทีการเมืองสำคัญ การประชุม G20 ก็คือ “การทูตพหุภาคี” ที่สำคัญอย่างยิ่ง การอ้างภาระกิจใดนั้นไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้
จึงเห็นว่า น่าจะเกิดจากจีนประเมินผลลัพธ์เกี่ยวกับระบบ G20 เจือสมกับความไม่พอใจกับพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัวของอินเดีย คือการใช้อำนาจหน้าที่บรรจุเรื่องการท่องเที่ยวของอินเดียเข้าในวาระการประชุมครั้งนี้
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง G20 คือทำการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลก แต่หลายปีที่ผ่านมาได้รับการแทรกแซงจากการเมืองอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เกิด “สงครามยูเครน” แถลงการณ์ร่วมของการประชุมได้บริภาษรัสเซีย จนกลายเป็นเหตุโต้แย้งกันเกิดขึ้น กรณีนี้จึงเป็นปฏิบัติการที่เกินขอบเขต และขัดต่อวัตถุประสงค์
อย่างไรก็ตาม การที่จีนส่งผู้นำสายเศรษฐกิจคือนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงไปร่วม ก็ถือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับระบอบขององค์กร ฐานานุรูปก็เหมาะสมกับงาน และอยู่ในกรอบกำหนดที่บริบูรณ์
อนึ่ง การประชุมสุดยอดระดับประเทศ เช่น APEC หรือ EAS เป็นต้น ไม่มีความจำเป็นว่าประธานาธิบดีจะต้องออกงานทุกครั้งเสมอไป อาทิ สหรัฐมักจะมอบหมายให้รองประธานาธิบดีหรือรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้แทนไปร่วมประชุม รัสเซียก็ส่งรัฐมนตรีต่างประเทศไปร่วมเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือ อินเดียได้ทำการซ้อมรบทางอากาศในระหว่างการประชุม ซึ่งเป็นพรมแดนจีน-อินเดียที่มีข้อพิพาทมาตลอด เป็นเรื่องอ่อนไหว ชัดเจนยิ่งว่า ไม่เป็นเวลาอันเหมาะสม
ที่ “สี จิ้นผิง” จะมาเยือนอินเดีย
ฉะนั้น การที่ “สี จิ้นผิง” ไม่ร่วมประชุมครั้งนี้ จึงมิใช่ประเด็นปัญหาจีน-สหรัฐ และก็ไม่น่าจะกระทบต่อสัมพันธไมตรี ประเด็นจึงมีอยู่ว่า ประเทศใหญ่ ตำแหน่งใหญ่ ทุกอิริยาบท
จึงเป็นที่สนใจของสังคม
อีกประการหนึ่ง จากการพบปะระหว่าง “สี จิ้นผิง” กับ “โจ ไบเดน” ที่ประชุม G20 ณ บาหลี อินโดนีเซีย เมื่อปีที่แล้ว ภายใต้ “พิชาน” ของจีนสรุปได้ว่า ได้ผลไม่มากสำหรับการแก้ปัญหาโครงสร้างความขัดแย้งเชิงลึก
แม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมิได้พบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ครั้งนี้ พรรณนาว่ารู้สึกผิดหวัง แต่ “ไบเดน” ก็ยังกล่าวว่า “ต้องได้มีโอกาสพบกันอย่างแน่นอน” การคาดเดาของสังคมคือ ทั้งสองผู้นำคงจะได้มีโอกาสพบกันในการประชุมสุดยอด APEC ณ ซานฟรานซิสโก สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้
มีข่าวว่า เนื่องจากเหตุผลการแซงก์ชั่น จึงปฏิเสธการเข้าร่วมประชุมของ “หลี่ เจียเชาว์” ผู้ว่าเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ถ้าข่าวนี้เป็นจริง อาจเป็นเหตุให้การพบปะระหว่าง “สี จิ้นผิง-โจ ไบเดน” ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
มาตรการแซงก์ชั่น “หลี่ เจียเชาว์” ของสหรัฐนั้น ไม่น่าจะเหมาะสม และอาจกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้ง บั่นทอนการพัฒนาความสัมพันธไมตรีของสองประเทศ อาจเป็นบททดสอบอีกครั้งหนึ่งสำหรับจีน-สหรัฐ
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช