เครือมติชนและเดลินิวส์ร่วมกันทำโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปทางออนไลน์ โดยให้โหวตแสดงความคิดเห็นว่า อยากให้รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน แก้ปัญหาอะไรก่อนกัน ระหว่างปัญหาการเมือง และปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยเริ่มต้นดำเนินการระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว โดยมีผู้สนใจสแกนคิวอาร์โค้ดโหวตจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าหลังจากที่ปิดโหวตในวันที่ 31 ตุลาคม ทุกคนจะทราบว่ากลุ่มประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการโหวตตอบโพลครั้งนี้มีความคิดเห็นเช่นไร
การดำเนินการทำโพลครั้งนี้ เครือมติชนและเดลินิวส์ มีความปรารถนาให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อตอกย้ำว่า แม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้ว โดยมีผลการเลือกตั้งแสดงถึงความต้องการของประชาชน แต่หลังจากมีรัฐบาลใหม่ ประชาชนก็ควรใช้สิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมต่อการบริหารงานของรัฐบาลตั้งแต่เริ่มไปจนสิ้นสุดซึ่งการแสดงความคิดเห็นผ่านการทำโพลครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะสะท้อนเสียงของประชาชน บอกกล่าวให้รัฐบาลทราบว่า ณ เวลาที่ทำโพลนั้น ประชาชนกลุ่มที่มาแสดงความคิดเห็นต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาอะไร
ในส่วนของปัญหาการเมือง มีทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการปฏิรูป และปรับปรุงโครงสร้างต่างๆ ขณะที่ปัญหาทางเศรษฐกิจปากท้องมีทั้งเรื่องการลดราคาค่าน้ำ ค่าไฟ ราคาพลังงาน รวมไปถึงนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ ซึ่งที่ผ่านมาผลการโหวตมีความใกล้เคียงกัน แต่เวลาโค้งท้ายของการทำโพลมติชนและเดลินิวส์ครั้งนี้อาจจะมีอะไรสะท้อนออกมาให้เห็นภาพได้มากขึ้นก็เป็นไปได้ ดังนั้น ในห้วงเวลาอีกไม่กี่วันที่เหลืออยู่ หากผู้ใดต้องการแสดงความคิดเห็นเพื่อส่งไปถึงรัฐบาลผู้เป็นฝ่ายบริหารก็ขอเชิญชวนให้เข้าไปทำโพล และเมื่อผลการสำรวจได้ข้อสรุป เชื่อว่ารัฐบาลจะรับฟังและนำไปทำตามความต้องการของประชาชน
ทางฟากฝั่งรัฐบาล นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองต่างๆ ได้แสดงเจตนามาตั้งแต่ต้นว่า พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั้งหากประชาชนส่งเสียงสะท้อนความต้องการออกมา แล้วรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารขานรับ แล้วนำเอาความต้องการของประชาชนไปปรับปรุงงานการบริหารเป็นระยะๆ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนจะกระชับใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งรัฐบาลไม่ทิ้งพื้นที่ โดยลงตรวจราชการเป็นประจำ ยิ่งรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายของตัวเองได้ประสบผล ยิ่งทำให้ประชาชนไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น อันจะส่งผลดีต่อประเทศ และเป็นผลดีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
