สมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ ลงมติอิสราเอล-ฮามาส‘หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม’

สมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ ลงมติอิสราเอล-ฮามาส‘หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม’

การปะทะกันระหว่างอิสราเอลกับฮามาส เป็นเหตุให้เกิดวิกฤตมนุษยธรรม ทั้งสองฝ่ายพึงประสงค์ชัยชนะในที่สุด จึงไม่ยอมหยุดยิง การเข้าแทรกแซงของสหรัฐ ทำให้สถานการณ์ตะวันออกกลางสับสนมากขึ้น หากเหตุการณ์เลวร้ายต่อเนื่อง อาจบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3
โยอาฟ กัลลันด์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ได้กำหนดไทม์ไลน์การโจมตีกาซาไว้ 3 ขั้นตอน
1 โจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่อง ทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ตัดหัวผู้นำระดับสูงและผู้บัญชาการ
1 โจมตีภาคพื้นดิน โดยการบุกทำลายล้างทุกมุมเมือง ทำลายบ้านเรือนแบบ door to door เพื่อขจัด “พลังต่อต้านขนาดเล็ก” แม้ลดกำลังพลลง แต่ก็ต้องถือว่าเข้าระดับ “อสูร”
1 ก่อตั้งอำนาจใหม่เพื่อให้ความปลอดภัยแก่ชาวยิวที่กาซา และตัดขาดความสัมพันธ์กับกาซา

นอกจากนี้ ยังได้กล่าวว่า มิใช่เป็นปฏิบัติการระยะสั้น หากจะต้องต่อเนื่องไปนานอีกหลายเดือน
ส่วนการโจมตีโรงพยาบาลที่กาซา ไม่ว่า Five Eyes สหรัฐ ฝรั่งเศษ เยอรมนี ล้วนยืนยันว่า มิใช่ฝีมือของทหารอิสราเอล หากเกิดจากการยิงจรวดพิสัยไกลของกาซาเกิดขัดข้อง
ณ วันที่ 26 ตุลาคม ชาวปาเลสไตน์ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มากกว่าชาวยิวหลายเท่าตัว กล่าวคือวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่ฮามาสโจมตีอิสราเอล มีชาวยิวเสียชีวิต 1,400 คน จึงเป็นการป้องกันที่เกินกว่าเหตุ แม้ท่ามกลางการเรียกร้องของสังคมโลกให้ยุติการสู้รบ แต่อิสราเอลอารยะขัดขืน เตรียมโจมตีภาคพื้นดิน ชัดเจนยิ่งว่า เป้าหมายการสู้รบคือ กำหนดทำลายฮามาสให้หมดสิ้น
โยอาฟ กัลลันด์ แถลงว่า นี่คือสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ไม่มีสิ่งใดที่สามารถยับยั้งกองกำลังป้องกันของอิสราเอลได้ และหลังจากนี้จะไม่มีฮามาสเหลืออยู่

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำงามหน้าสนับสนุนอิสราเอลป้องกันตนเอง จึงได้ทำการเปรียบเทียบความขัดแย้งในตะวันออกกลางและสงครามยูเครนคือการดวลกัน ณ จุดเปลี่ยนแห่งประวัติศาสตร์ สหรัฐมีความประสงค์จะเป็นผู้นำในการคุ้มครองโลกเสรีและค่ายประชาธิปไตยอีกคำรบหนึ่ง จึงได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมว่า สหรัฐได้เพิ่มกองกำลังเพื่อปกป้องตะวันออกกลาง
แต่ไบเดนก็ทราบดีว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2ถึงสมัย ประธานาธิบดีบิล คลินตัน วินัยแห่งอำนาจในตะวันออกกลางของสหรัฐสิ้นสุดลงแล้ว ไม่อยู่ในวิสัยที่จะกลับมาอีก เช่นเดียวกับสายน้ำ
ทว่า ไบเดนก็ยอมรับว่า การโจมตีเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ของฮามาส เกิดจากการผลักดัน “ยุทธศาสตร์ตะวันออกกลางใหม่” ที่มุ่งต่ออิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย หนึ่งในยุทธศาสตร์คือป้องกันมิให้จีนและรัสเซียเข้ามาเป็นใหญ่ชี้นิ้วในตะวันออกกลาง อันเป็นการแข่งขันชิงชัยกับสหรัฐ แต่หัวใจของยุทธศาสตร์คือ ต้องการปล่อยให้ประเด็นสถาปนาประเทศของปาเลสไตน์ไปอยู่ชายขอบ ไปตามยถากรรม

ถ้าหากการสู้รบอิสราเอลกับฮามาสยืดเยื้อ ไม่จบไม่สิ้น เป็นเหตุให้วิกฤตมนุษยธรรมปะทุขึ้นมาขนาดใหญ่ เชื่อว่าประเทศตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ เป็นต้น คงจะต้องละทิ้งการประนีประนอม เพราะ “เรียมเหลือทน” สถานการณ์ต่อต้านอิสราเอลก็ต้องขยายวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ตรงจุดนี้ที่จะสร้างแรงกดดันให้แก่สหรัฐในหลายสนามรบ คือ ยูเครน ตะวันออกกลาง และช่องแคบไต้หวัน อันเป็นการสร้างความเสื่อมถอยให้แก่สหรัฐเร็วขึ้น ซึ่งเป็นผลร้ายสำหรับการแข่งชิงชัยกับจีนเพื่อเป็นผู้นำเบอร์หนึ่งของโลก
ไม่ว่าสหประชาชาติ จีน และกลุ่มประเทศอาหรับ กำลังวิตกประเด็นที่อิสราเอลโจมตีกาซาภาคพื้นดินอย่างไร้ขอบเขต อาจทำให้ขยายวงกว้างเจือสมกับสงครามท้องถิ่น คือชนวนแห่งสงครามโลกครั้งที่ 3

Advertisement

วันที่ 21 ตุลาคม ประธานาธิบดีอียิปต์ได้เป็นประธานจัดการประชุมสุดยอดว่าด้วยสันติภาพปาเลสไตน์ นอกจากประมุขและผู้นำประเทศตะวันออกกลาง ยังมีประธานกองกำลังปาเลสไตน์ รัฐมนตรีต่างประเทศของพันธมิตร รวมทั้งเอกอัครราชทูตพิเศษจีนประจำตะวันออกกลางร่วมด้วย แต่สหรัฐและอิสราเอลไม่ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม ความหวังการหยุดยิงจึงเลือนราง
ประเด็นที่ “กุแตเรซ” เลขาธิการสหประชาติกังวลที่สุดก็คือ วิกฤตมนุษยธรรมขนาดใหญ่ อาจกลายเป็นชนวนสงครามขนาดใหญ่ที่กดดันประเทศตะวันออกกลางเข้าสู่สนามรบ
ผู้นำอิหร่านได้ส่งสัญญาณว่า หากสถานการณ์ยกระดับ คงไม่ตัดประเด็นที่มีหลายประเทศในภูมิภาคของโลกเข้าร่วมการสู้รบ ในขณะที่อดีตผู้บัญชาการทหารเรืออังกฤษเตือนว่า หากวิกฤตกาซายืดเยื้อต่อเนื่อง อังกฤษ สหรัฐ อาจส่งกองทัพไปช่วยรบภาคพื้นดิน ส่วนเลบานอน ซีเรีย อิหร่าน และรัสเซีย ก็จะร่วมทำสงครามด้วย
บัดนี้ ทุกประเทศอยู่ในสภาพพร้อมรบ ส่วนซาอุดีอาระเบียก็ถูกบังคับให้เข้าสู่สมรภูมิเช่นกัน
จึงอนุมานได้ว่าซาอุดีอาระเบียอาจเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่จะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

แต่วันที่ 27 ตุลาคม สมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ ได้เปิดประชุมวิสามัญสมัยที่ 10 โดยเรียกร้องให้อิสราเอล-ฮามาส หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมอย่างถาวร โดยได้รับคะแนนเสียงที่เห็นชอบอย่างท่วมท้น
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีญัตติหยุดยิง 4 ฉบับเข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาใหญ่ แต่ต้องตกไป
โดยอาศัยอำนาจตามมติสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติที่ 377A(V) ปี 1950 “อันว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของสมัชชาใหญ่ ถ้ามติของคณะมนตรีความมั่นคงไม่เป็นเอกฉันท์ เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความปลอดภัยระหว่างประเทศ สมัชชาใหญ่ต้องเปิดประชุมเพื่อพิจารณาโดยด่วน”

จึงเป็นที่มาของการประชุมวิสามัญครั้งที่ 10 อันว่าด้วย “หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม” ผลปรากฏว่า
เห็นชอบ 120 เสียง ไม่เห็นชอบ 14 เสียง งดออกเสียง 45 เสียง
สรุปมติ ให้อิสราเอล-ฮามาส “หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม ทั้งนี้ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ หมายความรวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนที่พึงมี”
ผู้แทนอิสราเอลประจำสหประชาชาตินาม Gilad Erdan ได้กล่าวหลังจากผ่านมติว่า “วันนี้เป็นวันที่มืดมนที่สุดวันหนึ่งของสหประชาชาติและมนุษยชาติ” อีกทั้งได้วิพากษ์เกี่ยวกับมติดังกล่าวมากมายชนิดขี้แพ้ชวนตี
อย่างไรก็ตาม บัดนี้ ทุกฝ่ายก็ต้องเคารพมติสมัชชาใหญ่ สหประชาชาติ
ยุติสงครามอิสราเอล-ฮามาส เพื่อมนุษยธรรม

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image