ทำไมค่าไฟและน้ำมันแพง

ทำไมค่าไฟและน้ำมันแพง

ทุกวันนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์ ต่างลงข่าวเกี่ยวกับค่าไฟและน้ำมันแพง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ โอดครวญไปตามๆ กัน มันเป็นเรื่องประหลาดแท้ ที่นักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญได้โวยออกมาตอนหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2566 ทางทีวีหาเสียงว่า การที่ค่าไฟและน้ำมันแพง มันมาจากสาเหตุนี้ๆ และสาเหตุที่นักการเมืองจาระไนมานั้นมันไร้เหตุผลจริงๆ แต่ผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายค่าไฟสูงมากก็ไม่โวยขึ้นมาเลย สาเหตุที่ค่าไฟแพงตามที่นักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญแฉออกมานั้น มันมีอยู่สองอย่าง คือ เพราะรัฐเก็บภาษีมากหนึ่ง สร้างโรงผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการอีกหนึ่ง และสาเหตุที่น้ำมันแพงก็มีสองอย่างเช่นกันคือ เพราะการเก็บภาษีหนึ่ง และการคิดต้นทุนที่ไร้เหตุผลหนึ่ง มาฟังคำอธิบายของนักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญ ดังต่อไปนี้ เอาค่าไฟก่อน การเก็บภาษีเป็นอย่างไร? ทุกวันนี้ การเก็บค่าไฟคิดเป็นหน่วย เราลองคิดเล่นๆ ว่าผู้มีอำนาจคิดราคาค่าไฟ ทุกวันนี้คิดอัตราก้าวหน้า คือบ้านไหนใช้ไฟเกิน 400 ร้อยหน่วยขึ้นไป ค่าไฟจะตกอยู่ในราคาหน่วยละ 4 บาท 50 สตางค์ ค่าไฟคนไทยใช้กันเป็นล้านๆ คน เกือบทั้งประเทศ ถ้าผู้มีอำนาจคิดราคาค่าไฟจะเก็บเงินเข้ากระเป๋า หรือเก็บเงินประเคนใคร ก็แอบทำได้ เช่น 1 หน่วย ให้คนนี้ไป เป็นเงินเท่าไร ลองคิดดู สมมุติว่า ให้คนนี้ 1 หน่วยต่อเดือน และมีคนใช้ไฟ 10 ล้านครอบครัว ลองคิดดูว่า หนึ่งล้านหน่วยต่อวัน เป็นเงินเท่าไร ตั้ง 1,000,000 หน่วย เท่ากับหนึ่งล้านสตางค์ คูณ 100 เพราะร้อยสตางค์เป็นหนึ่งบาท = 1,000,000 หาร 100 = หนึ่งหมื่นบาทต่อวัน หนึ่งเดือนเก็บครั้งหนึ่ง เป็นเงิน หนึ่งหมื่นคูณ สามสิบ = 3 แสน แต่นี่มันมีเศษ 50 สตางค์ ถ้าเอา 50 สตางค์ คูณ 1 ล้านครอบครัว จะเป็นเงิน 1,000,000 คูณ 50 = 50,000,000 หาร 1,000 สตางค์ = 500,000 ต่อวัน ค่าไฟเก็บเดือนละครั้ง = 500,000 คูณ 30 = 15 ล้านต่อเดือนเลยนะ !

สาเหตุที่สอง ที่ว่า สร้างโรงผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการ กรณีนี้น่าจะมีเหตุผลบ้าง คือเพื่อไม่ให้ไฟฟ้าติดๆ ดับๆ แต่ที่น่าสงสัยก็คือ โรงไฟฟ้าที่เกินความต้องการนี้ ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าหรือไม่ ถ้าเดินเครื่องด้วย ความมันก็น่าจะคิดราคาในหน่วยไฟฟ้าที่ผลิต ไม่ใช่มาคิดราคาไฟฟ้าที่สร้างยังไม่เสร็จ หรือเสร็จแล้วแต่มิได้เดินเครื่อง แต่ต้องจ่ายเพื่อช่วยผู้ประกอบการ ประเด็นนี้น่าจะให้ความกระจ่างในเรื่องสร้างโรงผลิตไฟฟ้า ที่เกินความต้องการด้วย ต่อไปจะกล่าวถึงสาเหตุ ทำไมราคาน้ำมันแพง ในข้อที่หนึ่งที่ว่า รัฐเก็บภาษีมากไป เช่น ราคาออกจากโรงกลั่น ถ้าสมมุติว่า 5 บาท แต่รัฐบอกว่าต้องคิดภาษีเข้ารัฐหนึ่งบาท คิดภาษีให้เทศบาล 1 บาท คิดเข้ากองทุนน้ำมัน 2 บาท เป็นต้น รวมแล้วราคาน้ำมันจะราคา 6 บาท มันกลายเป็นราคา 9 บาท เป็นต้น ในกรณีนี้ก็เหมือนคิดค่าไฟฟ้าเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อมาคิดราคาให้หน่วยงานไหนบ้าง ก็ถ้านักการเมืองผู้มีอำนาจคิดราคาน้ำมันเอาเข้าตัวเอง หนึ่งบาทต่อลิตร หรือไม่ก็ คิดเอาที่เข้ากองทุนน้ำมันในสองบาทนั่นแหละ ตัวให้กองทุนน้ำมัน 6 สลึง อีก 50 สตางค์ เอาเข้าตัวเอง จะเป็นไปได้ไหม เรื่องนี้ ได้หลักคิดมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีตะวันตกประเทศหนึ่ง ไม่ควรเอ่ยชื่อ ขอให้บริษัทขายนมบริษัทหนึ่ง ช่วยบริจาคเงินช่วยการหาเสียง ไม่รู้ว่าช่วยเป็นเงินเท่าไร แต่เมื่อผู้นั้นได้เป็นประธานาธิบดีแล้ว ได้อนุมัติบริษัทขายนมนั้น ขึ้นราคานมกระป๋องละหนึ่งเหรียญ เท่านี้ก็ได้เงินเยอะแล้ว !

เหตุผลข้อที่สองของการคิดราคาน้ำมัน ที่ออกจากปากนักการเมืองและผู้เชี่ยวชาญทางทีวีคือ น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้านั้น ได้จากก๊าซในอ่าวไทยแท้ๆ แต่กลับไปคิดค่าขนส่งจากสิงคโปร์บ้าง จากซาอุฯบ้าง มันเท่ากับว่าคิดต้นทุนบวกเข้าไปให้มากขึ้น เวลาตั้งราคา ราคาต้นทุนสินค้าก็มากขึ้น เช่น สมมุติว่าขายส่งข้าวสารหนึ่งกระสอบ จะประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้ ราคาข้าวสารพร้อมกระสอบ ราคาหนึ่งร้อยบาท ค่าขนส่งมันแพงเพราะข้าวสารมาจากซาอุฯ ค่าขนส่งจึงแพงคือ หนึ่งพันบาท ค่าจ้างลูกน้อง ห้าสิบบาท กำไรของผู้ประกอบการอีกหนึ่งร้อยบาท จึงรวมเป็นราคาข้าวสารกระสอบละ 1,250 บาท มันเหมือนนักการเมืองคนหนึ่ง เสนอแบบแปลนก่อสร้าง ศาลากลางจังหวัดในจังหวัดที่มีพื้นดินดอน ไม่ต้องใช้เข็มรองรับเสา แต่ในแบบที่เสนอไปมีราคาตอกเข็มด้วยเมื่อไม่ต้องตอกเข็มเงินจำนวนนั้นจะไปไหน? ดังนั้น ในกรณีการขนส่งน้ำมันก็เหมือนกัน ในเมื่อเชื้อเพลิงเดินทางจากอ่าวไทยสมมุติราคาเพียงหนึ่งร้อยบาท แต่เมื่ออ้างว่ามาจากซาอุฯ จึงคิดราคา 900 บาท ถามว่า แล้วเงินอีก 900 บาท ที่อ้างมันมาจากที่ไกลไปอยู่ที่ใคร! เอาไปทำอะไร? อย่าตอบว่าเป็นค่าการตลาดนะ! เพราะอะไร? เพราะเป็นคำตอบที่มุ่งไม่ให้คนถามซักต่อ ให้ยุติเรื่องเสีย

Advertisement

เหตุผลที่ทำไมค่าไฟและน้ำมันแพง ดังที่กล่าวมานั้น เหตุผลข้อที่อ้างว่าเชื้อเพลิงมาจากแดนไกลนั้น เป็นเหตุผลที่เจตนาเพิ่มเงินทุนให้มากขึ้น นั่นคือมีเจตนาทุจริตหรือไม่? และคนที่ทำอย่างนี้ได้ จะต้องเป็นนักการเมืองที่ร่วมเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเท่านั้น การที่ผู้ปกครองบ้านเมือง กระทำการทุจริตเช่นนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะทำให้ดินฟ้าอากาศวิปริต เมื่อดินฟ้าอากาศวิปริต ประชาชนจะเดือดร้อนและอายุสั้น ผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ลองมาอ่านคำสอนของพระองค์ดังต่อไปนี้ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อผู้ปกครองบ้านเมือง ไม่ประพฤติธรรม ข้าราชการก็จะไม่ประพฤติธรรม เมื่อข้าราชการไม่ประพฤติธรรม ประชาชนก็จะไม่ประพฤติธรรม เมื่อผู้ปกครองหนึ่ง ข้าราชการหนึ่ง และประชาชนอีกหนึ่ง พากันไม่ประพฤติธรรม พระอาทิตย์จะเดินผิดทาง เมื่อพระอาทิตย์เดินผิดทาง จะเกิดเหตุสองประการคือ ฤดูกาลจะเปลี่ยนไปหนึ่ง ลมจะพัดรุนแรงหนึ่ง มาดูผลต่อเนื่องจากข้อที่หนึ่งคือ เมื่อพระอาทิตย์เดินผิดทาง วัน เวลา ฤดูกาลจะผันแปร ผลของฤดูกาลผันแปร เราจะเห็นได้ในเมืองไทยขณะนี้ เช่น ฤดูฝนเคยอยู่ในเดือนนี้ แต่มันจะกลับเป็นฤดูร้อนแทน หรือช่องนี้เคยเป็นฤดูหนาว แต่มันกลับไปเป็นฤดูร้อนแทน ความวิปริตของฤดูกาลเช่นนี้ ทำให้พืชทุกชนิดไม่มีผล หรือบางชนิดมีผล แต่ผลของพืชนั้นจะไม่แก่จัด เมื่อมนุษย์กินผลไม้ที่ไม่แก่จัด อายุของเขาจะสั้นลง เมื่อชายที่มีอายุสั้นลง ลูกของเขาก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆ”

มาดูเหตุผลข้อที่สองของการที่พระอาทิตย์เดินผิดทาง เมื่อพระอาทิตย์เดินผิดทาง กระแสลมจะพัดกระหน่ำรุนแรงชนิดที่ไม่เคยปรากฏ เมื่อกระแสลมพัดรุนแรงมาก วิมานของอากาศเทวดาจะสั่น เมื่อวิมานของเทวดาสั่น เทวดาจะโกรธมนุษย์ ในฐานะเป็นตัวการ ที่ทำให้ฟ้าดินผันแปร แล้วนั่นคือท่านจะลงโทษให้โลกมีแต่ความร้อน คือ เอลนีโญที่ชาวโลกรู้กันในขณะนี้ หรือบางจุดก็ลงโทษให้น้ำท่วม จึงสรุปได้ว่า เมื่อชาวโลกไม่ประพฤติธรรม ฟ้าดินจะผันแปรไปหมด จากนั้นหมู่มนุษย์จะเดือดร้อนมากมาย เราจะเห็นว่า ในพระพุทธพจน์นั้น เราอ่านแล้วจะพบความสืบเนื่องของเหตุปัจจัยหนึ่งก่อให้เกิดปัจจัยหนึ่ง ที่เราไม่กล้าคัดค้าน แต่มีความสืบเนื่องตอนหนึ่งที่เรามองไม่เห็นความสืบต่อ คือ เมื่อมนุษย์ไม่ประพฤติธรรม อะไรจึงทำให้พระอาทิตย์เดินผิดทาง คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก มันไม่น่าจะเกี่ยวเนื่องกันเลย และเมื่อเราสังเกตดูแล้ว ไม่เห็นพระอาทิตย์เดินผิดทางปกติเลย มีแต่ในฤดูหนาวเท่านั้นที่เดินอ้อมไป ในกรณีนี้พระองค์คงหมายถึงแสงอาทิตย์เดินผิดทาง เพราะนักวิทยาศาสตร์ค้นพบภาวะเรือนกระจก ภาวะเรือนกระจกคือ แสงอาทิตย์สามารถผ่านเรือนกระจกไปได้ แต่ความร้อนกลับย้อนขึ้นมาบนอวกาศได้ ความมันจึงน่าจะพูดใหม่ว่า เมื่อมวลมนุษย์ไม่ประพฤติธรรม แสงอาทิตย์จะเดินผิดทาง เมื่อแสงอาทิตย์เดินผิดทาง จะเกิดผลสองประการ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มนุษย์ทำให้โลกร้อน อย่างนี้จึงน่าชี้ว่ามนุษย์นั่นเองเป็นตัวการในเรื่องนี้ เพราะความทุจริต

การที่ผู้ปกครองบ้านเมือง ข้าราชการ และประชาชนทั่วโลก ไม่ประพฤติธรรม ทั้งเรื่องการทุจริตและโลภจัดสร้างอุปกรณ์เสพสุขต่างๆ ล้วนเป็นต้นเหตุให้ ฟ้าดินวิปริตทั้งนั้น สภาพการณ์ที่ทำให้โลกร้อน ได้ถูกตีแผ่ว่ามาจากการสร้างมลภาวะให้โลกร้อน เช่น การสร้างโรงงาน เป็นต้น มิมีใครหวนคิดถึงความทุจริตของคนในสังคมเลย ผู้เขียนขอเดาว่า แม้เรานอนเย็นในห้องที่มีแอร์ น่าจะสร้างมลภาวะเช่นกัน ทำให้คิดไปว่าสมัยพระพุทธองค์เป็นพระกุมาร มีปราสาทสามฤดู ได้พบว่าการสร้างปราสาทฤดูร้อนของพระองค์ให้เย็นนั้น ท่านเก็บน้ำไว้บนหลังคา เมื่อถึงฤดูร้อน ก็เปิดน้ำบนหลังคานั่นคือฝนเทียม ความเย็นฉ่ำก็เกิดขึ้น น้ำฝนที่ไหลจากหลังคา จะมีละอองเข้าไปในห้อง อีกทั้งในห้องของพระสิทธัตถะมีสระบัวอยู่รอบห้อง นั่นคือเกิดความเย็นฉ่ำในห้องของพระองค์ นั่นคือ ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ นี่ไปนอกเรื่องมากแล้ว จึงขอสรุปความว่า การไม่ประพฤติธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง เป็นเหตุให้ฟ้าดินวิปริต ประชาชนเดือดร้อน ถ้าหวังความสุขสงบ ทุกคนจงหันกลับมาดูตัวเองบ้างเถิด อย่ามัวไปเพ่งเล็งแต่คนอื่นเลย

Advertisement

ทวี ผลสมภพ

หมายเหตุ ขอแก้ข้อความที่ผิด ในบทความ เรื่อง อดีตของรัฐฉานที่ไม่กระจ่าง ที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 ข้อความที่ผิดคือ เดือน 1 ขึ้น 1 ค่ำ เปลี่ยนเป็น เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ เป็นวันสงกรานต์ ขึ้นปีใหม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image