พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : กระบี่ วิเศษ คัดสรร บรรณาการ แด่ ‘แม่ทัพ’

พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : กระบี่ วิเศษ คัดสรร บรรณาการ แด่ ‘แม่ทัพ’

ในฐานะศิษย์จางไท่กง ในฐานะที่ได้รับมอบตำรากลศึกจากมือของหานสือกง แต่ละก้าวย่างของจางเหลียงเปี่ยมด้วยความสุขุม
การไป “สังเกตการณ์” ณ บ้านของหานซิ่นจึงต้องระมัดระวัง
แม้ว่าจะเป็นการหวนคืนเป็นหนที่ 2 แต่ก็เลือกเอาเวลาค่ำ ดวงจันทร์กระจ่างฟ้า และแจ้งผ่านคนเฝ้าประตูว่า
“เราเป็นชาวเมืองไผ่หยิม บ้านเดียวกับหานซิ่นจะขอเข้าไปหา”
เมื่อนายประตูเข้าไปรายงาน หานซิ่นคิดนึกตรึกตรองว่า เมื่อเราอยู่เมืองไผ่หยิมนั้นกันดารนัก ไม่ได้มีเพื่อนฝูงชอบใจกับผู้ใดเลย แล้วมาอยู่เมืองเสียนหยาง 3 ปีเศษก็ไม่มีใครไปมาหาสู่
“บัดนี้เพื่อนบ้านเก่าเรามาหาสงสัยนัก”
การครุ่นคิดด้วยความสงสัยเป็นลักษณะโดยพื้นฐานไม่ว่าจอมยุทธ์ยุคใด ยิ่งมองจากพื้นฐานของหานซิ่นเอง ยิ่งต้องมากด้วยความแคลงคลางกังขา
สมญาที่ว่า “ไอ้หนุ่มลอดหว่างขา” มิได้เป็นเรื่องเงียบเชียบ
ในความเป็นจริง ยุทธจักรอาจคับแคบ แต่ในความคับแคบนั้น “ข่าวสาร” เดินทางไปรวดเร็วราวกับติดปีกบิน
นี่ย่อมดำรงอยู่อย่างเป็น “ปราการ” ขวางกั้นอยู่ในทุก “พื้นที่”
ครั้นเมื่อจางเหลียงเดินเข้ามาสังเกตเห็นการแต่งกายใส่เสื้อผ้าผิดประหลาดคลับคล้ายแปลกหน้าไม่รู้จัก
จำเป็นต้องเชิญเข้าไปนั่งในตึกแล้วถาม “ท่านมีธุระสิ่งใดจึงมาหาเรา”
การมาในยามวิกาลก็แปลกอยู่แล้ว การมาในโฉมอันแปลกหน้ายิ่งเด่นชัดว่าจะเป็นชาวไผ่หยิมจริงละหรือ
ยิ่งรับฟัง “คำ” ของ “อาคันตุกะ” ยิ่งแปลกอย่างประหลาด

เดิมข้าพเจ้าอยู่บ้านเดียวกับท่าน แต่ไม่สู้คุ้นเคยนัก ข้าพเจ้าไปจากบ้านเที่ยวอยู่ป่าพบปู่ผู้ใหญ่ร่วมแซ่
ได้กระบี่ 3 เล่มเป็นของวิเศษ สืบมาตกอยู่กับข้าพเจ้า
แต่เที่ยวหาผู้มีปัญญาต้องด้วยลักษณะควรจะถือจึงจะขายได้ กระบี่ 2 เล่มนั้นขายให้แก่ผู้ต้องลักษณะ 2 คนแล้ว
แต่ยังกระบี่สำหรับแม่ทัพเล่มนี้
คิดว่าท่านอยู่บ้านไผ่หยิมด้วยกัน รู้ว่าท่านมีสติปัญญา จิตใจองอาจ รักการเป็นทหารอยู่จึงเอากระบี่มาให้ท่านชม
ครั้นจะมากลางวันท่านก็ติดด้วยราชการ จึงมาต่อเวลาพลบค่ำ
กระบี่เล่มนี้มีคุณแก่เจ้าของ ถ้าลงไปทางน้ำ มังกร จระเข้ เหรา ก็หลีกไปสิ้น ถ้าจะเดินไปทางบก สัตว์อันร้ายก็กลัวไม่อาจเข้าใกล้ แม้จะตีราคาหลายพันตำลึงทอง ไม่มีที่ซื้อ
ผู้ใดเป็นเจ้าของได้ถือ ชื่อก็จะปรากฏไปภายหน้า

ท่วงท่าของหานซิ่นยังมากด้วยความระมัดระวัง ด้านหนึ่ง เมื่อได้ฟังคำสรรเสริญกระบี่ประหนึ่งจะทำให้เข้าใจว่าตนมีสติปัญญา
ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง แม้ยินยอนเข้าใกล้ กระนั้นก็เข้าใกล้พร้อมกับ
“ข้าพเจ้ามาอยู่กับพระเจ้าฌ้อปาอ๋องไม่มีผู้ใดจะรู้ว่าดีแลชั่ว ท่านมาชมกระบี่พร้อมกับสรรเสริญข้าพเจ้าว่าดีนั้นเห็นจะไม่สมเหมือนกับปากว่า ข้าพเจ้าจะขอชมเชยกระบี่ของท่านบ้าง”
จางเหลียงก็ส่งมอบกระบี่ให้แต่โดยดี
ในการพบและสนทนาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยในระยะสั้น ต่างฝ่ายจึงต่างเรียนรู้ต่อกันและกัน
ภาพของหานซิ่น ณ เบื้องหน้า จางเหลียง เป็นภาพอันน่าศึกษา

หานซิ่นรับเอากระบี่มาถอดออกจากฝักส่องดูที่ตะเกียง เห็นน้ำเหล็กนั้นกล้ามีแสงดังฟ้าแลบ
จับจักษุ
มีหนังสือในฝักจารึกไว้ว่า “เหล็กกระบี่เอามาแต่เขาคุนหลุน ช่างผู้ทำตั้งพิธีดี หลายปีจนเหล็กมีสีขาวใส
ใสดุจน้ำค้างค้างอยู่บนใบหญ้า
กระทำฝักพิเศษ ประดับด้วยพลอยอย่างดี เอาทองถักเป็นลวด ฝักกระทำเป็นดวงพระจันทร์ ดวงพระอาทิตย์
กระบี่เล่มนี้ควรจะปราบยุคเข็ญ จะได้แก่ผู้มีสติปัญญาอันเข้มแข็งกระทำศึกสืบไป”
หานซิ่นอ่านอักษรบนฝักกระบี่ก็ยินดีนัก “ท่านบอกเราว่ามีกระบี่วิเศษ 3 เล่ม 2 เล่มนั้นท่านขายเป็นราคาเท่าไหร่”
นี่ย่อมเป็น “คำถาม” ในลักษณะ “วัดใจ”

Advertisement

ต้องยอมรับว่าจางเหลียงฉลาดอย่างยิ่งที่นำเอากระบี่วิเศษมาเป็น “สะพานเชื่อม” ทอดนำเข้าหาหานซิ่น
หานซิ่นซึ่งถือตนเป็น “นักรบ”
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสอดรับ กลมกลืน เมื่อเอากระบี่วิเศษตกก็ย่อมได้ปลาวิเศษมากินเหยื่อ
จางเหลียงจึงว่า
“ซึ่งกระบี่นั้นไม่ควรที่จะตีราคา สุดแต่ใจข้าพเจ้าผู้เป็นเจ้าของ ผู้ใดได้ลักษณะควรที่จะถือกระบี่มาขอซื้อจึงจะขาย ถึงจะราคาถูกก็ไม่ว่า” หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ
“ข้าพเจ้าเห็นท่านเป็นคนมีสติปัญญาควรกับกระบี่จึงเอามาให้ดู”

ไม่ว่าจะเป็นยุคฉิน ไม่ว่าจะเป็นยุคซ่ง ณ เบื้องหน้าจอมยุทธ์ ย่อมมีเครื่องตรวจสอบ วัดใจเข้ามาไม่ขาดสาย
ทั้งที่เป็น “อาวุธ” ทั้งที่เป็น “วิทยายุทธ”
เมื่อมองผ่านจางเหลียงก็เห็นถึงความนุ่มนวล สุภาพ เปี่ยมด้วยเชาวน์ปัญญา
ขณะเดียวกัน เมื่อมองผ่านหานซิ่นยิ่งต้องประทับใจ
หานซิ่นลุกขึ้นคำนับ เกาะกุมมือจางเหลียง
“ท่านควรเป็นกุนซือสำหรับผู้มีบุญแล้ว ขอบใจท่านซึ่งเอาของมาให้ดูครั้งนี้ คุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าปัญญายังน้อยถึงจะมีเงินทองก็ไม่ควรจะต่อราคา เห็นไม่สมควรจะถือกระบี่ท่าน”
รับฟังแล้วจางเหลียงจึงว่า
“ซึ่งท่านว่าปัญญายังน้อยถ่อมตัวนั้น ถึงจะมีทองสักหมื่นตำลึงมาต่อราคาจะขายให้ก็ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านควรที่จะถือได้จึงอุตส่าห์เอากระบี่มาให้ท่านชม”
หานซิ่นมีความยินดีนัก

เป็นความยินดีที่ไม่ว่างเปล่าและเลื่อนลอย หากแต่เป็นความยินดีซึ่งลงเอยด้วยบทสรุปอย่างเปี่ยมด้วยสันถวมิตรอันสนิทสนมมากยิ่งขึ้น
นั่นก็คือ ให้คนใช้ของตนยกโต๊ะมาแล้วนั่งกินกับจางเหลียง
หานซิ่นถามขึ้นว่า “กระบี่ทั้ง 3 เล่มมีชื่อหรือไม่”
“มีชื่ออยู่ทั้งสิ้น” เป็นคำตอบจากจางเหลียง “กระบี่เล่มที่หนึ่งควรกับฮ่องเต้หรือ
กษัตริย์ มีชื่อว่า “แปหองเจียวเตียน”
กระบี่เล่มที่สองควรกับ “ไจเสี่ยง” ผู้สำเร็จราชแผ่นดินชื่อ “เลงจวนหาย”
กระบี่เล่มที่สามควรแก่ง่วนโชย แม่ทัพ ชื่อง่วนเจียงมดเสียง”
เท่ากับแยกจำแนกออกเป็น กระบี่ฮ่องเต้ กระบี่ผู้สำเร็จราชการ และกระบี่แม่ทัพง่วนโชย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image