พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : บนทาง 2 แพร่ง ตัดใจ‘เท’หมด หน้าตัก ก้าวสู่ ‘แม่ทัพ’

พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : บนทาง 2 แพร่ง ตัดใจ‘เท’หมด หน้าตัก ก้าวสู่ ‘แม่ทัพ’

ไม่ว่าบทบัญญัติอันกำกับ “กระบี่ฮ่องเต้” ไม่ว่าบทบัญญัติอันกำกับ “กระบี่ไจเสี่ยง” ไม่ว่าบทบัญญัติอันกำกับ “กระบี่ง่วนโชย”
ดำรงอยู่ใน “สถานะ” แห่ง “อนุศาสน์”
ด้านหนึ่ง เมื่อได้สดับ หานซิ่นย่อมเกิดความยินดี ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง จึงยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง
เป็นความระมัดระวัง ณ เบื้องหน้าจางเหลียง
“ท่านให้กระบี่ 2 เล่มแก่ฮั่นอ๋อง เซียวเหอนั้นสมคะเนที่คิดไว้ บัดนี้ท่านจะเอากระบี่สำหรับแม่ทัพมาขายให้แก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่ในคติ 8 ประการเหมือนท่านกล่าว
เห็นไม่ควรจะรับกระบี่เล่มนี้”
เบื้องต้นเหมือนกับเป็นกัปปิยโวหาร เห็นชอบด้วยในกรณีของฮั่นอ๋อง เห็นชอบด้วยในกรณีของเซียวเหอ
แต่ยังตั้ง “การ์ด” เมื่อถึง “วาระ” แห่งตน

ได้ยินดังนั้นจางเหลียงจึงว่า “ซึ่งท่านได้เรียนรู้มาถ้าจะเปรียบกับซุนบู๊จู๋ 1 เง่าคี้ 1 เยียงจู 1 ทั้ง 3 คน ซึ่งมีมาแต่ครั้งแผ่นดินเลียดก๊กนั้น
ข้าพเจ้าเห็นว่า ยังหาเสมอท่านไม่”
คำถามก็คือ เหตุใดจางเหลียงจึงยกหานซิ่นไว้เหนือกว่า ซุนบู๊จู๋ เง่าคี้ และเยียงจู
“อุปมาเหมือนม้าอันมีฝีเท้าเดินได้วันละหนึ่งหมื่นเส้นแต่ไม่มีคนดีจะขับขี่ จึงไม่รู้ดีแลชั่ว ต่อเมื่อได้พบป๋อเง่า เจ้าของม้าครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก จึงรู้ว่าใช้ได้ เป็นม้าอันประเสริฐ
เปรียบเหมือนตัวท่านทำราชการทุกวันนี้เป็นผู้น้อย ด้วยไม่มีผู้รู้ว่าเป็นของดี
ถ้ามีผู้รู้ใช้จึงจะเห็นว่าเป็นคนมีสติปัญญา รู้กาลลึกซึ้ง จะให้ทำสิ่งใดก็จะได้สมคิด ถ้าท่านได้ไปอยู่กับผู้มีบุญเห็นจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่
กิตติศัพท์ก็จะฟุ้งเฟื่องทั้งแผ่นดิน”

ยิ่งรับฟัง หานซิ่นยิ่งมากด้วยความระมัดระวัง เป็นความระมัดระวังในระดับที่ได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจออกมาเฮือกใหญ่
“แต่ข้าพเจ้าอยู่กับพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง
ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต ทำเรื่องราวให้เซี่ยงป๋อถวายจะให้พระเจ้าฌ้อปาอ๋องเป็นสุขในราชสมบัติ
กลับจะเอาโทษข้าพเจ้าถึงตาย
ซึ่งพระเจ้าฌ้อปาอ๋องจะยกไปตั้งเมืองเฉิงเผิง ขุนนางทูลทัดทานก็ไม่ฟัง แม้นขึ้นจะยกไปเห็นจะเสียเมืองเป็นมั่นคง
ข้าพเจ้าจะตามไปเพียงกลางทาง แล้วจะกลับหนีไปอยู่บ้านเก่า”
นี่ย่อมเป็นเรื่องที่หานซิ่นก็ขบคิดไว้ก่อนหน้าพบจางเหลียงแล้ว เพราะรับรู้ไม่เพียงแต่ว่า หนังสือกราบทูล พระเจ้าฌ้อปาอ๋องก็ถือโกรธ
หากคำชี้แนะของฟานเจิงก็ดังก้องอยู่ใน 2 รูหู
นั่นก็คือ ให้พระเจ้าฌ้อปาอ๋องทรง “เลี้ยงไว้” ขณะเดียวกัน หากพระเจ้าฌ้อปาอ่องไม่เลี้ยงตามคำชี้แนะ
“ก็จงฆ่าเสีย”

จึงไม่แปลกที่เมื่อขบคิดในกระบวนคิดอย่างนี้ก็ย่อมจะต้องเปิดหัวใจออกกว้าง ณ เบื้องหน้าจางเหลียง
พระเจ้าฌ้อปาอ๋องไม่ตั้งเป็นขุนนาง “เห็นจะคอยหาผิดเราเป็นแน่แท้”
“ท่านพูดดังนี้เหมือนเป็นคนหลงลืมสติ” เป็นการทานอย่างชนิดท้วงอย่างแรง กระแทกไปโดยตรงจากจางเหลียง
“หรือแกล้งจะล่อลวงข้าพเจ้า
ด้วยตัวท่านเกิดมาเป็นชาย อุปมาเหมือนหนึ่งหงส์จำเพาะจะบินไปจับได้แต่ต้นไม้ใหญ่ ชอบแต่จะหาเจ้านายให้เป็นที่พึ่งจะได้มีความสุข ซึ่งท่านคิดจะกลับไปเป็นคนจนนั้นไม่ชอบ
ความสองประการนี้ท่านจงตรึกตรองดูเถิด”

Advertisement

ได้ยินดังนั้นหานซิ่นจึงว่า “ท่านพูดหลักแหลมนักใช่จะมาขายแต่กระบี่ คงจะมีธุระเป็นความลับหลายสิ่ง
เราดูหน้าท่านประหนึ่งจะคิดได้ว่าเป็นจางเหลียงชาวเมืองหาน ครั้นจะทักแต่แรกมาก็กลัวผิด”
นี่ย่อมเป็น “วินาที” แห่งการเปิด “หน้าไพ่”
จางเหลียงได้ฟังจึงลุกขึ้นคำนับแล้วว่า “แต่ข้าพเจ้าได้ยินชื่อท่านมาช้านานอยู่แล้ว คิดจะใคร่มาหาสนทนาความลับด้วยท่าน ที่จริงนั้นตัวข้าพเจ้าชื่อจางเหลียง ตั้งใจเอากระบี่มาให้ท่าน”
เมื่อหานซิ่นเปิดหน้าไพ่ จางเหลียงก็ย่อมเปิดหน้าไพ่

หากย้อนหวนทวนหลัง ไม่ว่าจะมองผ่านทางด้านของจางเหลียง ไม่ว่าจะมองผ่านทางด้านของหานซิ่น
ต่างมิได้มาพบด้วยมืออันว่างเปล่า
ประเมินจากความจัดเจนในยุค “สมัยใหม่” กระบวนการปูพื้นของยุทธนิยาย
“ไซ่ฮั่น” ดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอน
จางเหลียงพบ “หนังสือ” ของหานซิ่นในแฟ้มของเซี่ยงป๋อ
ขณะเดียวกัน เมื่อสนทนาอยู่กับฮั่นเสงเด่นชัดอย่างยิ่งว่าหานซิ่นรับรู้เบื้องหลังอุบัติแห่ง “ปริศนาบทเพลง” ได้อย่างเหลือเชื่อ
รู้กระทั่งว่าเจ้าของ “ไอเดีย” อยู่ในพื้นที่ที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ
นี่ย่อมอ่านได้ด้วย “วิธีวิทยา” ยุคปัจจุบันว่าเป็นเรื่องของ “การข่าว” ไม่ว่าจะได้มาด้วยกระบวนการอย่างไรก็ตาม
นี่คือ “พื้นฐาน” ขับเน้นลักษณะพิเศษของแต่ละ “จอมยุทธ์”
เมื่อการทุกอย่างดำเนินไปดังคาดคิดเอาไว้จางเหลียงยิ่งมากด้วยความยินดีในระนาบอันเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
เป็นความมั่นใจในการระบุ
“ผู้ซึ่งจะอยู่รอบรู้ในแผ่นดินนั้นก็เห็นอยู่แต่ท่านผู้เดียว ควรจะดับทุกข์ข้าพเจ้าแลไพร่บ้านพลเมืองให้มีความสุขได้”
หานซิ่นจึงเปิดเผยความในใจออก
“ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่มิได้ขาด คิดจะไม่ทำราชการด้วยพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง จะไปหาเจ้านายที่ตั้งอยู่ในยุติธรรม เห็นแต่ฮั่นอ๋องผู้เดียวก็ไปอยู่เมืองโปต๋งหนทางไกลไปมายาก ท่านจะโปรดให้สติปัญญาประการใดบ้าง”
เมื่อหานซิ่นผลักเรือนเข้ามา จางเหลียงก็ย่อมอนุวัติคล้อย
“ฮั่นอ๋องเป็นผู้มีบุญโดยแท้ ซึ่งไปอยู่เมืองโปต๋งก็จำใจ แต่จะได้ฝึกทหารคิดการกลับมา ตอนนี้ยังหาแม่ทัพไม่ได้ แม้นท่านคิดจะไปโดยแท้เห็นจะได้เป็นแม่ทัพเหมือนแขนด้านขวาฮั่นอ๋อง ท่านจะได้ปราบยุคเข็ญในแผ่นดิน”
จากนั้นจึงรับปากพร้อมกับคำมั่น
“แม้นจะไปเราจะให้ของวิเศษสักสิ่งหนึ่ง ประเสริฐกว่าตำราเจียงไท่ก๋งซึ่งมีอุบายพันสิ่งครั้งแผ่นดินพระเจ้าบู๊อ๋อง”

ความสัมพันธ์ระหว่างจางเหลียงกับหานซิ่นจึงเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ยิ่งคำนึงถึงเป้าหมายแท้จริงของจางเหลียงว่าดำเนินการด้วยเป้าหมายใด
ยิ่งประจักษ์ใน “โชคดี” ในมือของ “ฮั่นอ๋อง”
ภารกิจของจางเหลียงชัดเจน นั่นก็คือ ภารกิจในการหา “แม่ทัพ” หา “นักรบ” ให้กับฮั่นอ๋องผู้เป็น “นาย”
นั่นย่อมสัมผัสได้จากแต่ละถ้อยแต่ละคำ
“เมื่อข้าพเจ้ามาจากฮั่นอ๋องนั้นได้สัญญากับเซียวเหอไว้ว่า ถ้าหาแม่ทัพได้จึงจะให้หนังสือมาเป็นสำคัญ”
ที่สำคัญยิ่งกว่า “หนังสือ” ยังเป็น “แผนที่ลับ”ไปยังเมืองโปต๋ง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image