การเพาะทาสขายของทวีปอเมริกาในอดีต

การเพาะทาสขายของทวีปอเมริกาในอดีต

ประวัติศาสตร์โลกตั้งแต่ 2,000 ปีมาแล้ว การมีทาสเป็นเรื่องปกติในสังคมต่างๆ ทั่วโลก เพราะทาสนั้นเกิดจากการที่สังคมหนึ่งไปรบตีเมืองอื่นๆ เผ่าอื่นๆ แล้วไล่ต้อนประชากรของผู้แพ้สงครามมาเป็นทาส บรรดาอารยธรรมที่เป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตก เช่น กรีกโบราณและโรมัน ก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแรงงานทาสทั้งสิ้น ดังนั้น สังคมในสมัยก่อนจึงนิยมการทำสงคราม เพราะไม่เพียงแต่ขยายดินแดนให้กว้างใหญ่ออกไปเท่านั้น แต่ยังได้แรงงานทาสมาใช้งานสารพัด ต่อมาสังคมในทวีปยุโรปได้หมดความนิยมในการมีทาสในยุคกลาง เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบจักรวรรดิที่ใช้แรงงานทาสมาเป็นระบบฟิวดัล (feudalism) คือทำให้เจ้าที่ดินได้กลายเป็นเสมือนเจ้าชีวิตของพวกไพร่ติดที่ดิน (serf) ที่สามารถใช้ทั้งแรงงาน และรีดเอาผลผลิตแรงงานจากคนเหล่านี้ได้โดยใช้กฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีบังคับ ดังนั้น สำหรับสังคมยุโรปในช่วงนี้ ทาสจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะมีวิธีการควบคุมและรีดผลผลิตจากแรงงานในรูปแบบไพร่ติดที่ดินมีประสิทธิภาพกว่าการมีทาสนั่นเอง

หลังจาก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้ค้นพบทวีปอเมริกาเมื่อ พ.ศ.2035 (ตรงกับสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา) บรรดาชาวยุโรปก็ได้พบดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลทำให้คนยุโรปผู้ขาดแคลนที่ดินทำกินต่างหลั่งไหลเข้ามายึดครองที่ดินทั้งหมดของทั้ง 2 ทวีป คือ ทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ โดยเข่นฆ่าและขับไล่คนพื้นเมืองอเมริกันออกจากที่ดินไป แต่แล้วกลับไม่มีแรงงานเพียงพอจะทำงานในผืนแผ่นดินอันมหาศาล ทำให้ต้องขนแรงงานมาจากทวีปยุโรปโดยเริ่มแรกก็เอาชาวยุโรปที่ยากจนมาเป็น “แรงงานชำระหนี้-indentured servants” คือการเอาชาวยุโรปที่เป็นลูกหนี้มาทำงานในที่ดินในทวีปอเมริกาเพื่อใช้หนี้ตามกำหนดเวลาที่เป็นหนี้ ซึ่งแรงงานพวกนี้โดนส่งไปทวีปอเมริกาจำนวนมาก แต่ก็ไม่พอต่อการทำงานในดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล คนยุโรปจึงใช้วิธีไปซื้อทาสมาทำงานให้ และแหล่งที่สามารถซื้อทาสได้อย่างสะดวกคือบริเวณทวีปแอฟริกาตะวันตก เนื่องจากทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่การค้าทาสเป็นปกติ และคนที่เอาทาสมาขายก็คือคนผิวดำแอฟริกันด้วยกันเอง การไปโจมตีคนเผ่าอื่นจับคนมาเป็นทาสเพื่อเอาไปแลกกับสินค้าต่างๆ ที่พวกพ่อค้าเอามาขาย ดังนั้น การไปโจมตีจับคนมาเป็นทาสเพื่อแลกสินค้าก็คือการหาของป่า อื่นๆ มาแลกสินค้าจึงเป็นเรื่องที่ทำอยู่เป็นปกติ โดยในเวลานั้นพวกลูกค้าหลักคือพวกพ่อค้าชาวอาหรับ ครั้นคนยุโรปค้นพบทวีปอเมริกา คนยุโรปก็เลยมาเป็นลูกค้าหลักแทน

ปรากฏว่าในช่วง 352 ปี ระหว่าง พ.ศ.2057-2409 มีชาวผิวดำแอฟริกาถูกจับและขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเพื่อขายเป็นทาสที่ทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ถึงกว่า 10 ล้านคน และประเทศที่รับซื้อทาสมากที่สุดคือประเทศบราซิล เมืองขึ้นของโปรตุเกส ซึ่งรับซื้อทาสไปถึง 4,722,000 คน ส่วนเกาะจาไมกาเมืองขึ้นของอังกฤษซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียนรับซื้อทาสถึง 1,020,000 คนเลยทีเดียว สำหรับสหรัฐอเมริการับซื้อทาสอยู่ที่ 890,000 คน

Advertisement

อังกฤษเป็นชาติที่ค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมากเป็นอันดับที่ 2 รองมาจากโปรตุเกส ได้ประกาศเลิกการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกใน พ.ศ.2350 ส่วนสหรัฐอเมริกาประกาศเลิกการค้าทาสแบบอังกฤษในปีรุ่งขึ้นแต่ไม่ได้เลิกการมีทาสและการค้าทาสในประเทศนะครับ ดังนั้น การค้าทาสก็ยังดำเนินอยู่ต่อไปภายในประเทศต่างๆ ทั้งทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ จนกระทั่งประเทศเฮติ เมืองขึ้นของฝรั่งเศสในทะเลแคริบเบียนเกิดปรากฏการณ์พวกทาสผิวดำทำรัฐประหารและประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส และยกเลิกการมีทาสใน พ.ศ.2347 (ตรงกับสมัย ร.2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกายกเลิกการมีทาสอีก 61 ปีให้หลังใน พ.ศ.2408 และประเทศบราซิลประกาศเลิกทาสใน พ.ศ.2431

ในช่วงที่มีการเลิกค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ยังคงมีความต้องการใช้แรงงานทาสอยู่มากจึงทำให้มีการเพาะทาสขายกันในประเทศต่างๆ ทั้งทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีกรณีการเพาะทาสเพื่อขายที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดคือกรณีของนายโรเก โฮเซ ฟลอเรนซิโอ ผู้มีฉายาว่า ปาตา เซกา ที่แปลเป็นไทยว่า เท้าแห้ง นัยว่าเขาเป็นคนแข็งแรงสามารถเดินเท้าเปล่าบนดินทรายที่ร้อนๆ ได้โดยไม่เจ็บปวด ซึ่งนายปาตา เซกา เป็นผู้มีร่างกายกำยำแข็งแรง มีส่วนสูงถึง 2 เมตร 18 เซนติเมตร และหนักถึง 150 กิโลกรัม เป็นกล้ามเนื้อทั้งสิ้น เขาเป็นทาสที่ถูกจับมาจากไนจีเรียและถูกขายให้นายฟรานซิสโก ดา คันฮา บูเอโน ราชาที่ดินแห่งแคว้นโซ คาลอส ประเทศบราซิล ซึ่งนายฟรานซิสโก ดา คันฮา บูเอโน ได้คัดเอานายปาตา เซกา ให้ทำหน้าที่เป็นพ่อพันธุ์สำหรับทาสผู้หญิงคนอื่นๆ โดยนายฟรานซิสโก ดา คันฮา บูเอโน หวังว่าลูกที่เกิดมาจากนายปาตา เซกา นั้นจะเติบโตเป็นทาสที่แข็งแรงเหมือนพ่อของพวกเขานั่นเอง แต่ไม่มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าทาสหญิงที่นายปาตา เซกา ได้หลับนอนด้วยนั้นมีจำนวนเท่าไร แต่ประมาณการว่าเขาน่าจะมีลูกเกินกว่า 200 คนอย่างแน่นอน โดยบางแหล่งข้อมูลได้ประเมินว่านายปาตา เซกา อาจมีลูกถึง 250 คนเลยทีเดียว ซึ่งบรรดาลูกของเขาโตขึ้นก็ถูกเอาไปใช้แรงงานเป็นทาสหรือเอาไปขายให้เป็นทาสอีกต่อหนึ่ง

ครั้นมีการเลิกทาสในบราซิลเมื่อ พ.ศ.2431 (ตรงกับสมัย ร.5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) นายปาตา เซกา ก็ถูกปลดปล่อยจากการเป็นทาสและได้รับที่ดินจำนวนหนึ่งในแคว้นโซ คาลอส จากเจ้านายคนเก่า และได้เริ่มทำฟาร์ม ดำเนินธุรกิจของตัวเองและแต่งงานกับภรรยาที่เป็นอดีตทาสคนหนึ่งชื่อ นางพัลมิรา ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 9 คน นายปาตา เซกา เสียชีวิตใน พ.ศ.2501 จากการที่เหยียบตะปูจนติดเชื้อบาดทะยัก ซึ่งหากปีเกิดของเขาที่ถูกบันทึกไว้คือ พ.ศ.2371 นั้นถูกต้อง ทำให้เขามีอายุยืนถึง 130 ปีเลยทีเดียว

Advertisement

ครับ! เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวที่น่าสลดใจที่มนุษย์กดขี่ข่มเหงมนุษย์ให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ด้วยการบังคับเพาะพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง โดยไม่ละอายหรือเกรงกลัวต่อบาปเลย ได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่น่ารู้เรื่องหนึ่ง

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image