พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : ความนัย ลึกเร้น กระบี่ มีคม จมแผ่นดิน สิ้นไร้ คนขุดพบ

พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : ความนัย ลึกเร้น กระบี่ มีคม จมแผ่นดิน สิ้นไร้ คนขุดพบ

ถึงแม้ในความเป็นจริง จางเหลียงจะเป็นผู้ค้นพบหานซิ่นและส่งตัวไปยังโปต๋ง แต่หากไม่มีเซียวเหออยู่ในจุดอันเหมาะสม
ตำแหน่ง “แม่ทัพ” ก็อาจมิได้เป็นของ “หานซิ่น”
นี่ย่อมเป็นเรื่องของ “ห่วงโซ่” ที่มิอาจเชื่อมต่อกันได้ระหว่าง “ขุนนาง” กับ “ฮั่นอ๋อง” ในแบบเรียบเนียน
บทบาทของ “เซียวเหอ” จึงไม่ควรมองข้าม
ทั้งๆ ที่แฮเฮาหยิน ทั้งๆ ที่เซียวเหอ ทดสอบและค้ำประกันความสามารถของหานซิ่นในระดับสูง
แต่ตำแหน่งที่ฮั่นอ๋องให้ได้สูงสุดกลับเป็น “ผู้เฝ้าฉาง”
มองในแง่การบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริหารงานบุคคล นี่ย่อมเป็นกรณีศึกษาอันแหลมคม
เรื่องนี้จำเป็นต้องมองให้รอบด้าน

ในด้านของหานซิ่นได้แสดงความรับผิดชอบต่องานที่มอบหมายให้อย่างเต็มเปี่ยมและยังรักษา “อาการ” ไว้อย่างเยือกเย็น
แม้จะจัดการ “ฉางข้าว” ได้อย่างดี
กระนั้น ก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆ จากฮั่นอ๋อง ทั้งๆ ที่ในความหมกมุ่นครุ่นคิดของฮั่นอ๋องมีความปรารถนาจะหวนกลับไปยังกวนตง
ยึดเสียนหยางคืนมาให้จงได้
แต่ทุกอย่างก็ดำรงอยู่ในลักษณะอันเรียกได้ว่า “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” เนื่องจากยังขาด “ขุนพล” ที่จะนำทัพ
นี่ย่อมเป็นอาการ “พร่อง” อาการ “ขาด”
เป็นการขาดในขณะที่ฮั่นอ๋องก็มีความปรารถนา เป็นการขาดในขณะที่หานซิ่นก็มากด้วยความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยม
นั่นย่อมเป็นปัญหาในเรื่อง “สาร” นั่นย่อมเป็นปัญหาในเรื่อง “สื่อ”

จึงในวันหนึ่งฮั่นอ๋องเสด็จออกขุนนางก็ได้ปรารภขึ้น “เราจะกลับไปตีกวนจง จางเหลียงนั้นไปเสาะหาแม่ทัพ หนังสือก็ยังไม่มีมาถึง
ครั้นจะตั้งคนอื่นก็เป็นห่วงด้วยจางเหลียง ท่านจะคิดประการใด”
แสดงให้เห็นว่ารอคอย “หนังสือ” จากจางเหลียงด้วยความหวัง แสดงให้เห็นว่าความหวังฝากไว้กับจางเหลียง
ได้ฟังคำปรารภดังนั้นเซียวเหอจึงกล่าว
“ถ้าเสด็จไปตีเมืองเสียนหยางขอให้ตั้งหานซิ่นขึ้นเป็นแม่ทัพ ครั้นจะงดไว้เพื่อคอยหนังสือจากจางเหลียงเห็นจะช้า”
พระเจ้าฮั่นอ๋องตรัสว่า
“หานซิ่นเป็นแค่จิบเก็กหนึง เพิ่งมาอยู่กับเรา ครั้นจะตั้งขึ้นเป็นแม่ทัพจะรับฌ้อปาอ๋องได้ละหรือ”
ประเมินฌ้อปาอ๋องสูง ประเมินหานซิ่นต่ำ

ครั้นเซียวเหอยืนยันในข้อเสนออย่างหนักแน่นและจริงจัง พระเจ้าฌ้อปาอ๋องจึงเลื่อนหานซิ่นขึ้นเป็นโตอวยดูแลการในฉาง
นี่ย่อมเป็นการให้เกียรติ นี่ย่อมเป็นการยกย่อง
เป็นการยกย่องบนพื้นฐานที่เซียวเหอคือผู้รับผิดชอบในเสบียงอาหาร การตั้งหานซิ่นเป็นโตอวยจึงย่อมสอดรับ
แม้จะให้เกียรติ แม้จะยกย่อง
กระนั้น เป้าหมายแท้จริงของหานซิ่นมิได้อยู่ที่การดูแลการในฉางอันเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยส่งกำลังบำรุง
หากแต่อยู่ที่ตำแหน่ง “แม่ทัพ” อยู่ที่การ “บัญชาการรบ”
นั่นก็คือ หานซิ่นต้องการดำรงอยู่ในสถานะแห่ง “ผู้บังคับบัญชา” มิได้ต้องการดำรงอยู่ในสถานะแห่ง “ฝ่ายอำนวยการ”
นี่คือการยืนหยัด นี่คือปณิธาน

Advertisement

วันหนึ่ง เมื่อเซียวเหอไปหาหานซิ่น ณ ฉาง ก็ไม่พบตัวและได้รับรายงานว่าหานซิ่นขี่ม้าออกไปทางประตูทิศตะวันออก
จนป่านนี้เวลาตี 11 แล้วยังไม่เห็นกลับมา
การขี่ม้าออกจากที่ตั้งอาจมิได้เป็นของแปลก เพราะคนเราย่อมต้องการเปลี่ยนเทศะ
เมื่อต้องอยู่ที่เดียวจำเจ
แต่การที่มุ่งออกไปทางประตูทิศตะวันออกแสดงว่าเป้าหมายอาจไกล การจากไปเนิ่นนานโดยมิได้กลับ
ยิ่งก่อให้เกิดความแคลงคลาง
เซียวเหอมีความรอบคอบอยู่แล้วในทางความคิด ห่วงใยต่อหานซิ่นอยู่แล้วโดยพื้นฐาน
จึงเดินขึ้นไปบนตึกและก็ได้พบข้อความเขียนบนผนัง

ตัวเรานี้อุปมาดังพระจันทร์ขึ้นค่ำหนึ่งยังไม่เห็นดวง
คนทั้งปวงเห็นแต่ดาวก็สำคัญว่าแสงกล้า ถ้ามิดังนั้นเหมือนหนึ่งม้าที่มีฝีเท้าอาจเดินทางได้วันละหนึ่งหมื่นเส้นแต่ยังไม่มีผู้ขับขี่จึงไม่รู้ว่าดี ข้อหนึ่ง ขอให้ทหารทั้งปวงเห็นว่าตัวดีมีสติปัญญา
อนึ่ง ก็เป็นคนพลัดบ้านเมืองมาหารู้ที่จะคิดการอย่างไร
ประการหนึ่ง เหมือนกระบี่อันมีคมดังกรดจมอยู่ในแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดขุดมาใช้ใครจะเห็นว่าดี
อนึ่ง เห็ดมีสีแดงเป็นของวิเศษบังเกิดขึ้นในที่สงัด ไม่มีผู้ใดไปจึงไม่รู้แห่ง
อนึ่ง เหมือนดอกไม้มีสีสันอันงาม กลิ่นหอมดังดอกไม้ในเมืองฟ้า ถ้าบังเกิดอยู่ในภูเขาอันเป็นที่คนไปไม่ถึง
ไฉนจึงจะได้มาชม
อนึ่ง หญิงสาวรูปงามบริสุทธิ์ ต่อชายไปพูดจาเล้าโลมให้เห็นน้ำใจจึงจะยอมมาอยู่ด้วย

การดำรงอยู่ของข้อความบนผนังดำเนินไปในแบบที่เรียกกันในยุคต้นแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมว่าเป็น “หนังสือพิมพ์กำแพง”
เพียงแต่เป็นผนังในห้องทำงานของหานซิ่น มิได้เป็น “สาธารณะ”
ดำเนินไปเหมือนกับ “ปริศนา” แต่เป็นปริศนา “คำทาย” ในลักษณาการเดียวกับ
บทเพลงที่จางเหลียงเสี้ยมสอนเด็กๆ แห่งเมืองเสียนหยาง
แสดง “ความในใจ” ปรากฏในเชิง “อุปมา”
ไม่ว่าจะเป็น “ตัวเรานี้อุปมาดังพระจันทร์” ไม่ว่าจะเป็น “เหมือนหนึ่งม้าที่มีฝีเท้า” ไม่ว่าจะเป็น “เหมือนกระบี่อันมีคม”
ไม่ว่าจะเป็น “เห็ดมีสีแดง” ไม่ว่าจะเป็น “ดอกไม้มีสีสันอันงาม”
และที่สุดก็ประมวลออกมาเหมือน “หญิงสาวรูปงาม บริสุทธิ์” ล้วนแล้วแต่ดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็น “ตัวแทน” เชิงอุปมา
เป็น “ของวิเศษ” เป็น “ความงามงด” สดใส ไพจิตร

Advertisement

ในความเป็นของวิเศษ ในความงามงดสดใสไพจิตร ก็ดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็นการรอคอยอย่างเปรียบเทียบ
ดวงจันทร์หนึ่งค่ำอาจเทียบดวงดาวมิได้
ม้าที่มีฝีเท้าอาจเดินทางได้วันละหนึ่งหมื่นเส้น แต่เมื่อยังไม่มีผู้ขับขี่ย่อมมิอาจรู้ได้ว่าเป็นม้าดี เป็นม้ายอดเยี่ยม
กระบี่อันคมกริบจมอยู่ในแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดขุดมาใช้
แม้เป็นเห็ดมีสีแดงเป็นของวิเศษ บังเกิดขึ้นในเทศะอันสงัด เปลี่ยวร้าง ไม่มีผู้ใดไปเยี่ยมยามจึงย่อมไม่รู้แห่ง
ดอกไม้มีสีสันอันงาม หญิงสาวรูปงามบริสุทธิ์
ไม่ว่าดวงจันทร์ ไม่ว่าม้าดี ไม่ว่ากระบี่คมกริบ ไม้ว่าเห็ดวิเศษ ไม่ว่าดอกไม้มีสีสันอันงาม ไม่ว่าหญิงสาวรูปงามบริสุทธิ์
คำตอบอยู่ที่ “ต่อไปพูดเล้าโลมให้เห็นน้ำใจ” จึงจะยอมมาด้วย

นี่ย่อมเป็นการแสดงออกอย่างเปิดเผยมากที่สุดอันพรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกแห่งดวงหทัยของหานซิ่น
ถามว่าเซียวเหอเข้าใจหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image