พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : จุดต่าง ตัวตน คิด เชิง ยุทธศาสตร์ ฤๅเชิง ยุทธวิธี

พยัคฆ์ซ่อน มังกรซุ่ม : จุดต่าง ตัวตน คิด เชิง ยุทธศาสตร์ ฤๅเชิง ยุทธวิธี

ต้องยอมรับว่า ปัญหาระหว่างหานซิ่นกับพระเจ้าฮั่นอ๋องเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน มีความละเอียดอ่อนอย่างประณีต ลึกซึ้ง
จำเป็นต้องมีการย้อนทวน ลงลึกไปยังรากฐาน
นับแต่แรกที่หานซิ่นรอนแรมเดินทางมาเยือนเมืองโปต๋ง และต่อเนื่องกระทั่งเกิดศึกระหว่างฌ้อปาอ๋องกับฮั่นอ๋อง
หากไม่มีคนอย่างจางเหลียง หากไม่คนอย่างเซียวเหอ เรื่องคงบานปลาย
เนื่องจากหานซิ่นเองก็มีลักษณะพิเศษอันเป็นของตนเอง เนื่องจากฮั่นอ๋องเองก็มีลักษณะพิเศษอันเป็นของตนเอง
ที่สำคัญเป็นอย่างมาก คือ มีรากฐานความสามารถอย่างเดียวกัน
เซียวเหออาจสนใจกฎหมาย สนใจการส่งกำลังบำรุง จางเหลียงอาจสนใจในเรื่องกลยุทธ์ หมกมุ่นอยู่กับการวางแผนที่จะเอาชนะ
ขณะที่ฮั่นอ๋องเป็นนักรบ ขณะที่หานซิ่นเป็นนักรบ

ความละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้นก็คือ พื้นฐานของเล่าปังมิได้เป็นนักรบอย่างโดดๆ ตรงกันข้าม เขาสะสมความจัดเจนในลักษณะทางการเมือง
การใช้ชีวิตอาจเสเพล แต่ก็สะท้อนลักษณะผู้นำ
หากไม่เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย หากไม่เป็นคนออกนำหน้าเมื่อเพื่อนฝูงประสบภัย โดยเฉพาะภัยจากกลไกอำนาจรัฐ
ตั้งแต่ระดับ “ท้องถิ่น” กระทั่ง “อำนาจรัฐ”
ตัวตนของเล่าปังคงไม่ได้รับการพิสูจน์ ไม่ว่าจะมองจากด้านของเพื่อนฝูงในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะมองจากด้านของผู้ปกครอง
จึงได้รับมอบหมายให้เป็น “นายอำเภอ”
พื้นฐานในลักษณะนี้ของเล่าปังนั้นเองที่ได้รับการเสริมเติมในเชิงสะสมพัฒนาความจัดเจนมากยิ่งขึ้นกระทั่งขึ้นเป็นเพ่ยกง
นี่ย่อมต่างจากพื้นฐานอันเป็นตัวตนของหานซิ่นแน่นอน

หานซิ่นมีเป้าหมายต้องการเป็นทหาร อาศัยความสามารถทางทหารเพื่อไต่เต้าและประสบความสำเร็จ
ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย
เรียนรู้ เคี่ยวกรำ ฝึกปรือวิทยายุทธ์จนเมื่อมีความมั่นใจก็ไปสมัครเป็นพลรบอยู่ในสังกัดของฌ้อปาอ๋อง
อาจมีคนมองเห็น “แวว” แต่ฌ้อปาอ๋องมองไม่เห็น
ฟานเจิง ในฐานะกุนซืออาจมองเห็น เซี่ยงป๋อที่เป็นอาของเซี่ยงหวี่อาจมองเห็น แต่เซี่ยงหวี่ไม่รู้สึกไม่ตระหนัก
ต่อเมื่อจางเหลียงจับจุดนี้ได้ทำให้หานซิ่นเริ่มมองไปทางฮั่นอ๋อง
ความเข้าใจของจางเหลียงทรงความหมาย ความเข้าใจของเซียวเหอในกาลต่อมาทรงความหมาย แต่ฮั่นอ๋องมิได้สุกงอมอย่างชนิดพร้อมใจ
ฮั่นอ๋องกับหานซิ่นจึงทำงานด้วยกันบนฐานแห่งความขัดแย้ง

ถามว่าหากระหว่างฮั่นอ๋องกับหานซิ่น ไม่มีคนอย่างเซียวเหอ ไม่มีคนอย่างจางเหลียง ดำรงอยู่ในลักษณะ “สะพานเชื่อม” จะเป็นอย่างไร
ตอบได้เลยว่า น่าจะแตกหัก
ในความเป็นจริง หานซิ่นก็มิได้มีฮั่นอ๋องเป็นเพียงตัวเลือกเดียว และเป็นตัวเลือกแรก
หากพุ่งไปยังฌ้อปาอ๋อง
อาจเนื่องจากมีพื้นฐานการเป็น “นักรบ” อย่างเข้มข้นใกล้เคียงกันจึงเกิดความเอนเอียง เนื่องจากตระหนักในความเป็นจริงของเล่าปัง เพ่ยกง อย่างดี
เพียงแต่ฌ้อปาอ๋องกับหานซิ่นก็เป็น “ขั้ว” เดียวกัน
เพียงแต่น้ำหนักอันมาจากฟานเจิง อันมาจากเซี่ยงป๋อไม่หนักแน่นและจริงจังอย่างเพียงพอ
เมื่อทางด้านฮั่นอ๋องมีจางเหลียงทุกอย่างก็เรียบร้อย

Advertisement

ต้องยอมรับว่าลำพังความเห็นของจางเหลียงอาจเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง หากไม่มีคนอย่างเซียวเหอมาหนุนเสริม
เส้นทางหานซิ่นในก๊กฮั่นคงไม่ราบรื่น
นั่นเพราะว่าหานซิ่นเองก็มีกระบวนท่าของตนเอง แม้ว่าจะมีหนังสือฝากฝังของจางเหลียงอยู่ในมือ ก็ไม่ได้งัดออกมาใช้
ต้องการพิสูจน์ด้วยตนเอง
ขณะเดียวกัน การตอบรับจากฮั่นอ๋องเองก็มิได้อบอุ่นเนื่องจากยังติดค้างอยู่กับข้อมูล “เดิม” ในลักษณะ “ไอ้หนุ่มลอดหว่างขา”
ในสายตาของฮั่นอ๋องถือว่าเสียศักดิ์ศรี
หากความยอดเยี่ยมของหานซิ่นไม่อยู่ในความรับรู้และสุกงอมโดยเซียวเหอที่หนักแน่นและจริงจังเพียงพอ
โอกาสของหานซิ่นก็คงมิได้บังเกิด

จากนี้จึงเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า องค์ประกอบการดำรงอยู่ในตำแหน่ง “ผู้นำทัพ” ของหานซิ่นมิได้เกิดขึ้นอย่างโดดๆ
หากแต่อุดมไปด้วย “ปัจจัย” และ “องค์ประกอบ”
เหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มทำหนังสือขอ “รับราชการ” ผ่านเซี่ยงป๋อไปยังฌ้อปาอ๋องมีความเด่นชัด
หากจางเหลียงไม่ “แอบ” ไปเห็น
หนังสือนั้นก็คงจะอยู่ที่เดิม ไม่มีผลใดๆ ในทางการเมือง ในทางการทหาร ขณะเดียวกัน แม้จางเหลียงเห็นและขยายเรื่องต่อ
แต่ถ้ามีเพียงจางเหลียง หานซิ่น อะไรจะเกิดขึ้น
เช่นเดียวกัน หากเซียวเหอมองเห็นเนื้อ “สุวรรณ” ทางการทหารของหานซิ่นที่ซ่อนอยู่ แล้วไม่ได้รับการยอมรับจากฮั่นอ๋องก็ไม่เป็นผล
ปัจจัยชี้ขาดแท้จริงจึงอยู่ที่ฮั่นอ๋อง

Advertisement

ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในยุคฮั่น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในยุคหลังฮั่น ปัจจัยและองค์ประกอบที่หานซิ่นเผชิญประสบยังดำรงอยู่
เพียงแต่ “เนื้อใน” อาจแปรเปลี่ยนไปตาม “สภาพ”
ในกระสวนแห่งการเขียนภาพของฮั่นอ๋องที่สะท้อนออกอาจเปี่ยมด้วยอารมณ์ แต่อารมณ์นั้นก็มีความมั่นแน่ว
มั่นแน่วในการเอาชนะในการศึก
ไม่เพียงเอาชนะเฉพาะส่วนอันเป็นเรื่องในทาง “ยุทธวิธี” หากที่สำคัญเป็นอย่างมากก็คือการเอาชนะอย่างเป็นการทั่วไป
นี่คือกระบวนการในทาง “ความคิด” ที่แตกต่างกัน
หากติดตามบทบาทของฮั่นอ๋อง ประสานกับบทบาทของเซียวเหอ ประสานกับบทบาทของจางเหลียง ล้วนคิดละม้ายและอยู่บนเส้นทางใหญ่
นั่นก็คือ เส้นทางอันเรียกว่า “ยุทธศาสตร์”

ความจำกัดของนักการทหารอยู่ที่ยุทธศาสตร์ในการรบ แต่สำหรับนักการทหารที่เข้าไปสู่พื้นที่ทางการเมืองจะคิดมากกว่านั้น
ในแวดวง “การทหาร” มีความเหมือนและความต่าง
ทหารจำนวนค่อนข้างมากดำรงความเป็นชายชาตินักรบอย่างมั่นแน่วและยอมรับว่าไม่ได้คิดในเรื่องการเมือง
จึงปล่อยให้บรรดา “นักยุทธการ” หรือ “นักการข่าว” หมกมุ่น
นักการข่าวเกาะติดอยู่กับการเคลื่อนไหวที่หลายส่วนมิได้เกี่ยวกับการทหารโดยตรง นักยุทธการรับผิดชอบในการวางแผน กำหนดทิศทาง
ทิศทางต้องสัมพันธ์ข่าว กำลังบำรุงและกิจการพลเรือน
ใครที่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในแวดวงกำลังพลการข่าว ยุทธการ ส่งกำลังบำรุง กิจการพลเรือน ล้วนถูกดูดกลืน
ติดอยู่กับความเป็น “ทหาร” ที่มีกลิ่นอาย “การเมือง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image