ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
สหรัฐ จีน รัสเซียต่อต้านวัฒนธรรมตื่นรู้ตะวันตก
ประเด็นต่อต้านการตื่นรู้ทางวัฒนธรรมตะวันตก คือการรับรู้ร่วมกันใหม่สุดของสหรัฐ จีน และรัสเซีย บัดนี้ ได้ย่างเข้าสมัยการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อรังสรรค์สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรือง ห่างไกลสงคราม
จากปรากฏการณ์ในอดีต แม้ต่างได้ใช้อุบาย และมีความไม่เชื่อใจต่อกันในทางการเมืองภูมิรัฐศาสตร์ แต่เมื่อเข้าศักราชใหม่ เป็นประจักษ์ว่าแนวโน้ม 12 เดือนข้างหน้า จะได้เกิดความรับรู้ใหม่ร่วมกันของสามประเทศ กลายเป็นหุ้นส่วนทางการเมือง ร่วมกันต่อสู้ในเป้าหมายเดียวกัน
ศัตรูของพวกเขาคือ เรื่องราวแจ้งเกิดของตะวันตก “วัฒนธรรมการตื่นรู้” (Woke Culture) โดยหวังพิชิตประเด็นชายหญิงข้ามเพศ ใช้เงินของรัฐสนับสนุนเยาวชนทำศัลยกรรมแปลงเพศ ตลอดจนกฎหมายยาเสพติด สนับสนุนการลักทรัพย์มูลค่าต่ำกว่า 1 พันดอลลาร์ ไม่มีโทษทางอาญา เป็นต้น
พวกเขาถือว่าเป็นความสิ้นหวังของสังคมที่อ่อนแอ อันเป็นทัศนคติของเดโมแครต จึงนำมาซึ่งการต่อต้านอย่างรุนแรงจากรีพับลิกัน และการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เพราะการประกาศต่อสู้คัดค้านเรื่องราวดังกล่าวอย่างเด็ดขาด จึงสามารถคว้าชัยชนะได้สำเร็จ เป็นการตอบรับที่ดีของคนอเมริกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศชัดเจนว่า มนุษย์มีเพียง 2 เพศเท่านั้น คือชายและหญิง ไม่มีแถบสีเทา และต่อต้านถ้อยคำของฝ่ายก้าวหน้าอันเกี่ยวกับเพศสามารถผันแปรเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นเหตุให้หลายปีที่ผันผ่านเอกสารของราชการในช่องเกี่ยวกับ “เพศ” จึงมีถึง 20 กว่าประเภท
ท่าทีอันแข็งกร้าวของทรัมป์ เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับปูตินและสี จิ้นผิง คือรับรู้ร่วมกันในประเด็นวัฒนธรรมตื่นรู้ ไม่ว่าเรื่องแปลงเพศ ยาเสพติด ลักทรัพย์ รวมถึงความผิดอาญาที่มีการอนุโลมโดยปราศจากความชอบธรรม ไม่สอดคล้องกับตรรกะ และไม่มีนิติวิทยาศาสตร์รองรับ ล้วนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ประมุขของสามประเทศมีความเห็นตรงกันในประเด็นการบริหารเดียวกัน โดยต้องการอำลา “คุณค่าสากล” ของเดโมแครต เพื่อย่างเข้าสมัยแห่งผลประโยชน์ระหว่างพหุภาคีคือ “การแลกเปลี่ยนยิ่งใหญ่” (Big Bargain) ถ้าต้องการให้ยุติสงครามยูเครน “ทรัมป์” ก็ต้องแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ กับ “ปูติน” ถ้าอยากได้ผลประโยชน์จากจีน ทรัมป์ก็ต้องเปิดการเจรจาปัญหาไต้หวันกับ “สี จิ้นผิง”
โดนัลด์ ทรัมป์คือแม่แบบของพ่อค้า ทุกเรื่องสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ มิได้ยึดหลักเกณฑ์และปราศจากอุดมคติ โดยไม่คำนึงถึงหน้าตาหรือความเกรงใจ ทรัมป์เข้าใจการแก้ปัญหาภายในต้องอาศัยผลงาน
ต่างประเทศ เพื่อขจัดผู้ท้าทายภายใน อนึ่ง เขาไม่ชอบสงคราม เพราะต้นทุนสูง และมากด้วยความเสี่ยง
ในปี 2025 เชื่อว่าทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์คงไม่มีกองบัญชาการรบฉุกเฉิน ไม่ส่งทหารไปประจำการต่างประเทศ เช่นเดียวกับ 4 ปีในสมัยแรกของเขาที่ปราศจากสงคราม หากจะมีการขีดเส้นแบ่งเขตอำนาจของโลก ต่างคนต่างปกครอง เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในสภาวะของรัฐบาลที่ไร้การควบคุม
สำหรับปูติน สงครามยูเครนคือสงครามที่ได้ประโยชน์ คือได้ครอบครองรัฐตะวันออกของยูเครน 4 รัฐ เสมือนการซื้อขายที่ได้กำไร แต่ก็ต้องสูญเสียชีวิตของทหารไปประมาณ 1 แสนนาย กรณีสอดคล้องกับประชามติภายในประเทศ ทว่า ทหารชราและทหารหนุ่มที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่เกิดประโยชน์ต่อการสู้รบอีกต่อไป ปูตินจึงกำลังหาโอกาสที่เหมาะสมเปิดการเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อหาทางออกต่อไป
ส่วนนโยบายของสี จิ้นผิงจะเป็นไปในรูปแบบสถิตสถาพร แน่นอนเขาไม่เอาปัญหาไต้หวันไปแลกกับสหรัฐ แต่ก็มีข้อตกลงโดยปริยายกับทรัมป์อยู่แล้ว คือธำรงไว้ซึ่งสันติภาพในช่องแคบ เพียงแต่ “ไล่ ชิงเต๋อ” ผู้นำไต้หวันต้องไม่ประกาศเอกราชไต้หวัน ช่องแคบไต้หวันก็จะไม่เข้าสู่ภาวะสงคราม การพัฒนาของจีนต้องการภาวะแวดล้อมที่มีความสันติ จีนจะไม่ก่อสงครามโดยไม่มีความจำเป็น
เริ่มต้นปีใหม่ 2025 คือสมัยของสหรัฐ จีน และรัฐเซียที่จะต้องเปิดการเจรจาครั้งใหญ่ และก็เป็นสมัยที่จะต้องทำการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครั้งใหญ่เช่นกัน เพื่อความพัฒนาถาวรของทั้งสามประเทศและทั่วโลก จึงต้องห่างเหินจากสงคราม และมุ่งสู่เส้นทางสันติภาพต่อไป
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช