ผู้เขียน | สีดา สอนศรี |
---|
การเมืองฟิลิปปินส์ – Marcos Jr. เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2022 ตามธรรมเนียมของประเทศและตามรัฐธรรมนูญเขาต้องแถลงนโยบายประจำปีต่อทั้งสองสภาทุกปี และกำหนดให้เป็นวันจันทร์ที่ 4 ของเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันที่ 25 กรกฎาคม 2023 เป็นวันครบรอบ 1 ปี เขาต้องแถลงนโยบายต่อทั้งสองสภาตามที่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี 1987 มาตราที่ 7 ตอนที่ 23 และในครั้งนั้น ได้มีประชาชนรอฟังอยู่นอกสภาทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการปกครองประเทศ มีการสนับสนุนและการคัดค้าน
ในการแถลงนโยบายในปี 2023 นั้น เขาได้รายงานสภาวะของประเทศว่าอยู่ในสภาวะใด มีปัญหาอะไร ปัญหาอะไรที่แก้ไขไปแล้ว และที่ยังไม่แก้ไข และจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านั้นอย่างไรในปี 2024
ใน SONA (State of the Nation Address) ปี 2024 นี้ เขาได้แถลงนโยบายในวันที่ 22 กรกฎาคม ว่าได้มีการลงทุนจากตะวันตกมากขึ้น เช่น ยุโรปและอเมริกา ทำให้คนมีงานทำมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจต่างชาติที่มาตั้งฐานให้บริการแก่ประเทศต่างๆ ในฟิลิปปินส์ โดยจ้างคนฟิลิปปินส์ดำเนินการ ที่เรียกว่า BPO (Business Process Outsourcing) ซึ่งได้แก้ปัญหาการว่างงานหลังเกิดวิกฤตการณ์โควิด มีการกระจาย
อำนาจสู่ท้องถิ่น โดยเฉพาะให้จ้างผู้ที่เกษียณราชการแล้วทำงานในภาครัฐและเอกชน แต่ปัญหาที่ยังแก้ได้ไม่มาก คือความยากจน เนื่องจากประชากรเพิ่มขึ้น รัฐบาลไม่อาจแก้ปัญหาครอบคลุมทั้งประเทศได้ แต่ก็ยังช่วยเหลือให้พวกเขาได้รับการจ้างงานในหน่วยงานต่างๆ แต่ก็ยังมีภาวะเงินเฟ้ออยู่ เนื่องจากมีความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น แต่สินค้าผลิตออกไม่ทันไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด ทำให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น แต่รายได้ก็ยังเท่าเดิม ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโควิดที่ผ่านมา แต่ในปี 2024 นี้มีการลงทุนโดยตรงจากประเทศต่างๆ ร่วมมือกับภาคเอกชนในประเทศ ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ทำให้เงินเฟ้อลดลงกว่าเดิมในไตรมาสที่ 4 ของปี อีกทั้งสหรัฐก็ได้เข้ามาช่วยในภาคอุตสาหกรรมด้วย ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นในไตรมาสนี้
นอกจากการแก้สภาวะเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 4 แล้ว Marcos ยังได้มีความสัมพันธ์กับต่างประเทศรอบด้าน (Omni direction) จากทุกประเทศที่มาลงทุน รวมทั้งการทำความร่วมมือกับหลายประเทศให้รับชาวฟิลิปปินส์ที่มีทักษะเข้าไปทำงานในประเทศนั้น ทำให้ฟิลิปปินส์มีเงินสำรองในประเทศสูงมาก โดยเฉพาะชาวฟิลิปปินส์ที่ส่งเงินเข้ามาในประเทศในช่วงคริสต์มาส แต่ปัญหาใหญ่ของประเทศในปี 2024 ก็คือ เขาได้สั่งปิดธุรกิจกาสิโนออนไลน์ (Philippine Offshore Gaming Operators (POGOs)) ซึ่งเป็นบริษัทที่เสนอให้บริการกาสิโนออนไลน์แก่ลูกค้าที่อยู่นอกประเทศ เพราะพบว่าได้มีการฟอกเงินของชาวจีน อันที่จริงแล้วธุรกิจนี้ได้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมาก เพราะธุรกิจกาสิโนในฟิลิปปินส์เป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อมีปัญหาเขาก็สั่งปิดทันทีภายในสิ้นปี 2024 นี้ เป็นปัญหาที่เขาแก้ได้แม้จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศก็ตาม แต่ผลประโยชน์ของประเทศชาติต้องมาก่อน
ฉะนั้นในปีนี้เขามุ่งแก้ปัญหาภายในก่อนอย่างอื่น การที่เขาเปิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างฟิลิปปินส์กับประเทศเยอรมนี ทำให้ปริมาณการค้าของประเทศสูงถึง 400 ล้านเปโซ คือปริมาณการซื้อขายมีความคึกคักมากขึ้น ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้น ซึ่งแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้มาก นอกจากนั้นยังอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจต่างๆ และยังมีการเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย ปัญหาสำคัญของประเทศในปีนี้คือการเกิดภัยธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการติดขัดในการพัฒนาในเขตที่มีพายุไต้ฝุ่น และปัญหาทะเลจีนใต้ แม้อาเซียนจะให้จีนทำตามแนวปฏิบัติที่ให้ต่อกันในเรื่องนี้ แต่จีนไม่ยอมปฏิบัติตาม ยังรุกล้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ในเขตทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตกถึงอย่างไรก็ตาม ฟิลิปปินส์ก็ได้ขอความช่วยเหลือจากสหรัฐ พันธมิตรเก่าแก่และเครือข่ายของสหรัฐมาคุ้มกัน ซึ่งต่างจากสมัย Duterte ที่ยอมประเทศจีนทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม การว่างงานและความยากจนก็ยังมีอยู่ในฟิลิปปินส์เหมือนกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน ยกเว้นสิงคโปร์
แม้เขาได้แก้ปัญหาบางอย่างไปแล้ว แต่ยังมีปัญหาทางการเมืองที่ต้องแก้ต่อไป นั่นก็คือความแตกร้าวระหว่างตัวประธานาธิบดีเองกับรองประธานาธิบดี Sara Duterte และอดีตประธานาธิบดี Duterte
Duterte ถูกไต่สวนในกรณีการสังหารผู้ติดยาเสพติด จากคณะกรรมการอาชญากรรมระหว่างประเทศ ส่วน Sara ถูกไต่สวน กรณีการยักย้ายเงินงบประมาณลับของประเทศสู่งบประมาณของรองประธานาธิบดี การไต่สวน (Hearings) ทั้งสองเรื่องนี้เป็นการเรียกร้องจากศาสนจักรและนักกฎหมายทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้เป็นการไต่สวนครั้งที่ 3 แต่ยังไม่แล้วเสร็จ Sara ไม่พอใจกรณีของการไต่สวน Duterte แต่ก็ไม่สามารถปกป้องได้
ถ้ากลับไปดูเมื่อครั้งเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2022 Marcos ได้รับเลือกตั้งเพราะได้คะแนนเสียงจากกลุ่มของ Duterte ที่สนับสนุนให้ได้รับการเลือกตั้งส่วนหนึ่ง ทั้งสองตระกูลคือ ตระกูล Marcos กับ Duterte ก็ร่วมกันหาเสียงเลือกตั้งซึ่งเป็นการเลือกตั้งแยกกันระหว่าง Marcos ที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และ Sara สมัครรับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดี การเลือกตั้งในฟิลิปปินส์เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทั้งสองคนมาจากคนละพรรค ก็ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนตามที่ได้ตั้งใจไว้ และคาดกันว่า Duterte ผู้เป็นบิดาจะดันให้ลูกสาว Sara ให้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในครั้งต่อไปคือปี 2028 ตามที่ทั้งสองครอบครัวได้ตกลงต่อกันว่าจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน
เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้งปี 2022 ดูเหมือนทั้งสองตระกูลเข้ากันได้ด้วยดี ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีเท่าที่ผ่านมามีไม่มาก แต่สมัยนี้มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เคยมีมาระหว่างผู้นำของฟิลิปปินส์ที่มาจากต่างพรรคการเมือง ถึงกับมีการขู่ว่าจะฆ่ากัน เพราะทั้ง Duterte และ Sara นิยมความรุนแรงและมีแนวคิดสังคมนิยม
ความเป็นมาก็คือ Marcos พบว่า Sara ได้ขู่ฆ่าเขาในขณะที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นถึง 6 ลูก ซึ่งรัฐบาลต้องแก้ปัญหาในครั้งนี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน และ Marcos ก็ได้ขู่กลับเช่นกัน ที่มาที่ไปของเรื่องนี้คือ
ประเด็นแรก รัฐบาลพบว่า Sara ยักย้ายถ่ายเทงบราชการลับของประเทศเข้าบัญชีของรองประธานาธิบดี เป็นจำนวนเงิน 612 ล้านเปโซ โดยไม่ได้นำเรื่องเข้าสภา และการไต่สวน Duterte กรณีการสังหารผู้ติดยาเสพติดเมื่อครั้งเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีดังกล่าวแล้วข้างต้น
ประเด็นที่สองคือ การที่ Sara ได้นำทหารเข้าไปประจำในโรงเรียนต่างๆ ซึ่ง Duterte อาจอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เพื่อปราบปรามยาเสพติดในโรงเรียน กรณีนี้ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ส่วนใหญ่ ศาสนจักรและนักกฎหมายได้เรียกร้องให้วุฒิสมาชิกไต่สวน Sara กรณีคอร์รัปชั่น เป็นเหตุให้ Sara ซึ่งดำรงตำแหน่งตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาด้วยได้ลาออก
ถ้าหาก Sara ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดี ไม่สามารถตอบคำซักถาม (Hearings) ของวุฒิสมาชิกได้ว่าใช้เงินไปทำอะไรและไม่มีหลักฐานมาแสดง เธอต้องถูกเข้ากระบวนการขับออก (Impeachment) ในข้อหาคอร์รัปชั่น ถ้าเธอถูกขับออก ประธานวุฒิสมาชิกจะเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีแทนตามรัฐธรรมนูญของฟิลิปปินส์ ส่วน Duterte จะมีความผิดตามกฎหมายหากไม่สามารถตอบคำซักถาม (Hearings) ของคณะกรรมการระหว่างประเทศได้ เรื่องนี้คงสร้างความแตกหักระหว่าง 2 ตระกูล
ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลคือ ตระกูลของ Marcos และตระกูล Duterte เป็นที่จับตามองของชาวฟิลิปปินส์ในขณะนี้ ซึ่งเราจะได้ติดตามกันต่อไป เพราะทั้ง Duterte ในกรณีอาชญากรรมและละเมิดสิทธิมนุษยชน และ Sara ในกรณีคอร์รัปชั่น ยังไม่แล้วเสร็จ พลังประชาชนอันยิ่งใหญ่ของฟิลิปปินส์ก็จะตรวจสอบเองด้วย จึงเป็นที่จะจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ฟิลิปปินส์กับไทยเหมือนกันในลักษณะที่พ่ออยู่เบื้องหลังการบริหารงานของลูกซึ่งเป็นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ความแตกร้าวระหว่างประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งไม่เคยมีความรุนแรงถึงขนาดนี้ในประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ ทำให้ความนิยมของรัฐบาลต่ำลง แต่อย่างไรก็ตาม ความเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้อยู่ในลำดับที่ 2 ของเอเชีย (6.0) อันดับ 1 คืออินเดีย (6.7) อันดับ 3 คือเวียดนาม (5.8) อันดับ 4 อินโดนีเซีย (5.0) อันดับ 5 จีน (4.7) (https://www.euromonitor.com)
สีดา สอนศรี