ผู้เขียน | สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ |
---|
ดุลยภาพดุลยพินิจ : ผู้สูงอายุไทยกับดิจิทัลเทคโนโลยี
ในยุคนี้ดิจิทัลเทคโนโลยีเปรียบเหมือนดาบ สองคมสำหรับผู้สูงอายุ คือในแง่หนึ่งดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุในการติดต่อกับโลกภายนอกทั้งเพื่อนฝูงและคนอื่นๆ การทำงาน การค้นคว้าหาความรู้ (โดยไม่ต้องไปห้องสมุดเหมือนสมัยก่อน) การหาความบันเทิงได้ในชั่วพริบตา การหาข้อมูลเชิงสุขภาพ รวมทั้งการใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เช่น ChatGPT ที่ช่วยในการเขียนรายงาน หรือบทความ การแปล ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยให้สมองผู้สูงอายุได้ทำงาน ลดภาวะซึมเศร้า ลดความล้าสมัยเชิงความรู้ความคิดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้สูงอายุ แต่ดิจิทัลเทคโนโลยีก็มีอันตรายสำหรับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาจากการหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต (Internet scams) การหลอกให้โอนเงิน การฟิชชิ่ง (Phishing-การหลอกล้วงข้อมูล หรือขโมยข้อมูลเพื่อไปทำการมิชอบต่างๆ) การถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว การหลอกให้ลงทุน การหลอกขายของ หลอกให้เล่นเกมหรือการพนัน ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุจะเผลอไม่ได้แม้จะไม่ได้ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นประจำ ซึ่งกรณีประชาชนทั่วไปสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติรายงานว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ 19 ตุลาคม 2565 ถึง 31 สิงหาคม 2567 มีการหลอกให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบโทรศัพท์ เช่น แอพพลิเคชั่นในการดูดเงิน พบผู้เสียหายรวม 17,000 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 3 พันล้านบาท และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่าสถิติการแจ้งความเกี่ยวกับคดีออนไลน์ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2565 ถึง 31 กรกฎาคม 2567 มียอดแจ้งความสะสมมากกว่า 6 แสนเรื่อง เกิดความเสียหายรวมกว่า 7 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้า หลอกให้กู้เงิน หลอกให้ลงทุน หรือขโมยข้อมูลทางโทรศัพท์ และล่าสุดมีบริษัทมือถือ 2 รายที่มีการใส่แอพพลิเคชั่นดูดเงินมากับเครื่อง ซึ่งรัฐบาลก็ออกมาเตือนแล้วว่าผู้สูงอายุเป็นเป้า “แก๊งคอล” พร้อมกับแนะบุตรหลานให้สอดส่องดูแล ป้องกันการสูญเสียทรัพย์สิน
ที่ผ่านมา สังคมอาจมองผู้สูงอายุว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ทันเทคโนโลยี ไม่ชอบใช้เทคโนโลยี ไม่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนี้ผู้สูงอายุมีไลฟ์สไตล์ทันสมัยพอสมควร ทั้งการใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566 ไตรมาส 2) พบว่า ผู้สูงอายุไทย 4 ใน 5 ใช้สมาร์ทโฟน ร้อยละ 60 มีการใช้อินเตอร์เน็ต (ผู้ที่ไม่ใช้เพราะใช้ไม่เป็น (ร้อยละ 53) ไม่จำเป็น/ไม่สนใจ (ร้อยละ 47) และคิดว่าค่าใช้จ่ายแพงไป (ร้อยละ 1) ร้อยละ 64 มีการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล (หมายถึง การได้เคยใช้อุปกรณ์ดิจิทัล (สมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต/คอมพิวเตอร์) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นของตนเอง อาจขอยืมผู้อื่นมาหรือของที่ทำงานมาใช้)
แต่การสำรวจดังกล่าวก็พบว่าผู้สูงอายุร้อยละ 43 เคยประสบภัยในการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล โดยภัย 3 อันดับแรก คือ การถูกหลอกหรือถูกรบกวนโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (ร้อยละ 90) ได้รับข่าวปลอม (ร้อยละ 37) และถูกหลอกจากการซื้อของออนไลน์ (ร้อยละ 11) และในแง่ของความรู้ความสามารถในการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี ผู้สูงอายุร้อยละ 38 ยังไม่รู้วิธีการใช้งานหรือไม่เข้าใจเมนูคำสั่ง (ที่เป็นภาษาอังกฤษ) ร้อยละ 19 ประสบปัญหาเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมีปัญหา และร้อยละ 16 ไม่มั่นใจในความปลอดภัยในการใช้งานและภัยออนไลน์ต่างๆ
และพบว่าผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 17 เคยพัฒนาทักษะดิจิทัลผ่านระบบออนไลน์ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงทุกวันนี้ผู้สูงอายุจะอยู่ยากขึ้นถ้าไม่รู้เรื่องไอที หรือดิจิทัลเทคโนโลยีเลย เพราะนอกจากสมาร์ทโฟนและเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วยังต้องรู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้ร้านอาหารใหญ่ๆ หลายแห่งใช้เมนูและการสั่งอาหารทางแอพพลิเคชั่นในไอแพดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารหรือสมาร์ทโฟนโดยใช้ QR Code ผู้เขียนเคยเข้าไปร้านแบบนี้แล้วสั่งอาหารไม่เป็น ต้องให้ลูกหลานช่วย รวมทั้งปัญหาการใช้ GPS ช่วยนำทางหรือการขับรถไฟฟ้าที่มีหน้าปัดแบบจอคอมพิวเตอร์สำหรับดูความเร็วและข้อมูลอื่นๆ เป็นเลขดิจิทัลต่างๆ เต็มไปหมดซึ่งผู้สูงอายุที่ขับรถอาจดูไม่ทันหรืองงกับจอดังกล่าวจนอาจเกิดอันตรายได้
สำหรับสถิติของผู้สูงอายุที่ใช้สมาร์ทโฟนนั้นผู้เขียนเดาว่าเงื่อนไขของภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุโดยต้องลงทะเบียนผ่านระบบแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนน่าจะมีส่วนกระตุ้นให้ผู้สูงอายุใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้น เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ซึ่งในปี 2564 มีผู้สูงอายุได้รับ 4.8 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 36 ของผู้สูงอายุ และยังมีโครงการรัฐอีกหลายโครงการที่ต้องรับผ่านระบบแอพพลิเคชั่น เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน โดยการสนับสนุนเงินคนละ 5,000 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 3 เดือน ให้ผู้ได้รับสิทธิกว่า 15 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โครงการชิมช้อปใช้สนับสนุนการใช้จ่ายผ่านระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกว่า G-Wallet โดยการแจกเงิน 1,000 บาทให้ประชาชนจำนวน 10 ล้านคนแรกที่เข้ามาลงทะเบียนในเว็บไซต์ โครงการเราชนะเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โดยมอบเงินเยียวยาจำนวน 3,500 บาทเป็นเวลา 2 เดือนรวมเป็นเงิน 7,000 บาท แต่ให้ใช้ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” โครงการคนละครึ่งจะได้รับเงินจำนวน 3,500 บาทตลอดโครงการ ใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นจ่ายระหว่างแม่ค้ากับลูกค้าคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการเรารักกันเพื่อช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ
ของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 โดยรัฐบาลจ่ายเยียวยารายละ 4,000 บาท รวมทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสที่สอง ปี 2568 ซึ่งแจกเงินสด 10,000 บาทให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 3 ล้านคนก็ต้องโอนผ่านระบบพร้อมเพย์
ในภาพรวม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุกับดิจิทัลเทคโนโลยี Thailand Creative & Design Center : TCDC (ศูนย์วิชาการด้านการรู้เท่าทันสื่อของผู้สูงอายุ และ สสส.-9 ก.พ.2567) วิเคราะห์ว่าการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุรุ่นเบบี้บูมเมอร์หรือผู้มีอายุ 60 ขึ้นไปนั้นมีเวลามากในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมยุคดิจิทัล มีการใช้เฟซบุ๊กและ TikTok แพร่หลาย และในช่วงโควิด-19 ระบาดก็ใช้เวลาเล่นสื่อโซเชียลมาก ผู้สูงอายุรุ่นนี้ชอบอยู่บ้านมากกว่าสถานพยาบาล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีอิสระในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูงได้ไม่จำกัด คนรุ่นนี้ร้อยละ 40 วางแผนจะทำงานไปจนกว่าจะตกงาน และมีความสุขในการเป็นที่ปรึกษาผู้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และสรุปว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก ทันสมัย และทันต่อเหตุการณ์มากขึ้น และไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคโดยที่ตนเองมีความสุขทั้งกายและใจอีกด้วย ฟังดูอาจสับสน เพราะ The Nation (15/6/2024) ก็รายงานว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะขาดความรู้ความสามารถด้านดิจิทัลเทคโนโลยี โดยอ้างถึงนาย Srinivas Tata ผู้อำนวยการกองพัฒนาสังคม UNESCAP ที่ให้ข้อมูลว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความล้าหลังภูมิภาคอื่นในด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเนื่องจากการแบ่งแยกทางดิจิทัล (Digital divide) โดยร้อยละ 53 ของครัวเรือนในเอเชียและแปซิฟิกสามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต เทียบกับร้อยละ 57 ของครัวเรือนทั่วโลก ขณะที่ในระดับบุคคล ในเอเชียและแปซิฟิกมีประชาชนร้อยละ 44 ที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตเทียบกับร้อยละ 51 ในระดับโลก นาย Tata อ้างข้อมูล ITU (International Telecommunication Union) ว่าในประเทศไทยมีผู้สูงอายุวัย 75 น้อยกว่าร้อยละ 15 เข้าถึงอินเตอร์เน็ตขณะที่ในกัมพูชาและอินโดนีเซียมีอัตราเข้าถึงอินเตอร์เน็ตต่ำกว่าไทย แต่ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติของไทยไตรมาสแรก 2567 เปิดเผยว่าผู้สูงอายุวัยแก่น้อยกว่า (60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 62 เข้าถึงอินเตอร์เน็ต และร้อยละ 84 มีการใช้สมาร์ทโฟน
ดิจิทัลเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุมีทั้งข้อดีข้อเสีย และปัจจุบันดิจิทัลเทคโนโลยีไปเร็วมากขณะที่ผู้สูงอายุมีแต่จะแก่ลงทำให้ช่องว่างห่างกันทุกที
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะสามารถใช้ประโยชน์ดิจิทัลเทคโนโลยีได้ดีขึ้นคือการพัฒนาความสามารถของผู้สูงอายุในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวควบคู่กันไปกับการคุ้มครองป้องกันผู้สูงอายุจากมิจฉาชีพทางดิจิทัลเทคโนโลยี
ก็ขอฝากรัฐบาลช่วยดำเนินการต่อไปจากที่ รมต.พาณิชย์เพิ่งไปอวดที่ World Economic Forum ว่ารัฐได้พัฒนาทักษะ AI ให้กับผู้สูงอายุแล้ว? ขอให้ทำจริงครับ