ดูเหมือนว่ารัฐบาลมีนโยบายที่จะยุติการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายในปี 2570 จึงขออนุโมทนาไว้ล่วงหน้า และหวังว่าสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่กำลังร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2568 – 2570 จะระบุการยุติความรุนแรงภายในปี 2570 เป็นเป้าหมายไว้ในร่างดังกล่าว และหวังว่าร่างจะผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอรัฐสภาเพื่อทราบ ก่อนที่จะประกาศให้หน่วยงานบริหารของรัฐบาลทุกหน่วย นำนโยบายดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างจริงจังจนมีมรรคผลต่อไป ในบทความนี้ ขอเสนอข้อคิดบางประการเพื่อประกอบการพิจารณาของ สมช. ในการยกร่างนโยบายดังกล่าว
ข้อติดขัดที่สำคัญประการหนึ่งคืออคติด้านความกลัว หรือที่เรียกว่าภยาคตินั่นเอง ฟังมาว่าตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศระมัดระวังมากในเรื่องการใช้คำศัพท์ ด้วยเกรงว่า “ผู้เห็นต่าง” หรือ “ผู้ก่อความไม่สงบ” จะนำคำศัพท์บางคำไปอ้างในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อยกระดับความขัดแย้ง และใช้อ้างเพื่อให้ต่างประเทศเข้ามาช่วยระงับเหตุความรุนแรง ราชการจึงให้ใช้คำว่า “สันติสุข” ไม่ให้ใช้คำว่า “สันติภาพ” เพื่อให้นานาชาติรับรู้ว่านี่เป็นปัญหาภายในประเทศ กลัวไปเองว่าถ้าใช้คำว่าสันติภาพ ก็จะทำให้เป็นมิติระหว่างประเทศขึ้นมาได้ อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏว่ามีมิตรประเทศใดที่คิดเช่นนี้ อีกทั้งคำว่า “สันติสุข” ยังหาคำแปลเป็นภาษาอังกฤษที่เหมาะไม่ได้ ใคร ๆ ก็ใช้คำว่า “peace” ที่ตรงกับคำว่าสันติภาพนั่นเอง
คำที่สองที่ราชการไม่ชอบให้ใช้คือคำว่า “การเจรจา” หากนิยมใช้คำว่า “การพูดคุย” มากกว่า ฟังเหตุผลว่าการพูดคุยน่าจะตรงกับคำว่า dialogue ซึ่งบางครั้งแปลว่าการสานเสวนาเพื่อทำความเข้าใจระหว่างกัน ส่วนการเจรจาจะหมายถึงการสนทนาที่น่าจะนำไปสู่การมีข้อตกลงร่วมกัน แต่เหตุผลที่ได้ยินมาคือ กลัวว่าถ้าใช้คำว่าการเจรจา จะเป็นการยอมรับสถานภาพของคู่เจรจาอย่างเป็นทางการ คำศัพท์ที่ใช้อาจมีนัยเป็นการด้อยค่าคู่เจรจาให้เป็นเพียงผู้พูดคุยด้วยเท่านั้นเอง อีกทั้งคำว่าการพูดคุย อาจเป็นการเน้นการสร้าง “สันติภาพในภาพเล็ก” (peace writ small) มากกว่า “สันติภาพในภาพกว้าง” (peace writ large)
คำที่สามที่ทางราชการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมใช้คือ “ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธ” (armed conflict) ดูเหมือนว่าผู้รู้ทางการทูตจะขอให้ใช้คำว่า “การขัดกันทางอาวุธที่ไม่มีลักษณะระหว่างประเทศ” (non-international armed conflict) ในที่นี้อีกนั่นแหละที่ผู้รู้ทางการทูตยืนยันว่า ถ้าไม่ขยายความว่าไม่มีลักษณะระหว่างประเทศ “ผู้รู้” ฝ่ายตรงกันข้ามจะเอาไปอ้างว่า คำว่าความขัดแย้งทางอาวุธมีนัยตามองค์การสหประชาชาติว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดี คงไม่มีใครตีความตามนี้ และไม่เห็นมีประเทศใดขัดแย้งกับรัฐบาลไทยถึงกับจะสนับสนุนการใช้อาวุธของฝ่ายที่เห็นต่าง เราคงคิดไปเองอีกแล้วซินะ
การเจรจาพูดคุยในสมัยที่พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เป็นหัวหน้าคณะเริ่มด้วยความขลุกขลัก ฟังว่าตัวแทนฝ่ายบีอาร์เอ็นมีความคับข้องใจและกล่าวโจมตีรัฐบาลอย่างเสีย ๆ หาย ๆ พร้อมทั้งยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ที่เกือบทำให้การเจรจาพูดคุยไปต่อไม่ได้ กระนั้น นายซัมซามิน ผู้อำนวยความสะดวกฝ่ายมาเลเซียในสมัยนั้นได้เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อส่งมอบเอกสาร 38 หน้า ที่ขยายความข้อเรียกร้อง 5 ข้อดังกล่าว ซึ่งสาระสำคัญอยู่ที่การขยายความการเรียกร้องให้รัฐไทยยอมรับ “สิทธิการเป็นเจ้าของแผ่นดินปาตานี” ซึ่งเป็นคำกล่าวแรง และรัฐไทยไม่น่าจะยอมรับได้
อย่างไรก็ดี เอกสาร 38 หน้าขยายความว่า การยอมรับ “สิทธิ” ดังกล่าวหมายถึงการยอมรับที่ผ่านรัฐสภา ที่จะให้โอกาสแก่ประชาชาติปาตานีมลายูในการบริหารพื้นที่ “โดยจัดเขตปกครองพิเศษ ดังเช่นกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา การปกครองตนเองเช่นนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยและไม่ใช่การแบ่งแยกออกจากราชอาณาจักรไทย ข้อเรียกร้องนี้จึงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย และนี่คือความหมายของคำว่า ‘สิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง’”
อันที่จริง หลายคำในเอกสาร 38 หน้า มีคำที่นักรัฐศาสตร์ไทยบางคนหวาดระแวง เช่น คำว่า “การปกครองตนเอง”, “เขตปกครองพิเศษ”, “สิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง” (self-determination) โดยตีความว่า เป็นการเตรียมการไปสู่เอกราชนั่นเอง แต่บีอาร์เอ็นเขียนมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่าไม่ใช่การแบ่งแยกออกจากราชอาณาจักรไทย หากฝ่ายรัฐบาลจะย้ำอีกทีก็ทำได้ เช่น กำหนดนโยบายให้ชัดเจนว่า จะจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นการกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่น ที่เหมาะสมแก่พื้นที่ ตามหลักการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร อันที่จะไม่เป็นเงื่อนไขนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน
อันที่จริง คณะพูดคุยที่นำโดยพลโทภราดรดูเหมือนจะตีความเอกสาร 38 หน้าตามนี้ จึงยินดีจะหารือในข้อเรียกร้อง 5 ข้อของบีอาร์เอ็น โดยเพิ่มอีก 2 ประเด็นคือ “ลดความรุนแรง และเคารพสิทธิมนุษยชนในทุกโอกาสที่สามารถทำได้ และ กระจายรายได้อย่างทั่วถึง ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม” แต่การเจรจาพูดคุยโดยคณะผู้แทนเดิมได้ยุติลง เพราะการรัฐประหาร
คณะผู้แทนชุดใหม่ของรัฐบาลมีพลเอกอักษรา เกิดผล เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งเปลี่ยนมาเจรจาพูดคุยกับมารา ปาตานี แทนบีอาร์เอ็น ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเทคนิคร่วมกัน และได้จัดทำ “ร่าง” ข้อตกลงในการจัดตั้งพื้นที่ปลอดภัยนำร่องที่อำเภอเจาะไอร้องจังหวัดนราธิวาส น่าเสียดายที่รัฐบาลไม่ยอมให้มีการลงนามในข้อตกลงที่ได้ร่างไว้ ด้วยเหตุผลว่าไม่ต้องการรับรองมารา ปาตานี ในฐานะผู้มาเจรจาพูดคุยกับรัฐบาลอย่างเป็นทางการ รัฐบาลจึงแต่งตั้งพลเอกอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ แต่ยังไม่ทันไร พลเอกอุดมชัยได้ขอลาออก และรัฐบาลได้แต่งตั้งพลเอกวัลลภ รักเสนาะ มาดำรงตำแหน่งแทน
มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยอีกครั้งในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน คราวนี้มีข้าราชการพลเรือนมาเป็นหัวหน้าคณะ คือนายฉัตรชัย บางชวด แต่ไม่ทันไรอีกเช่นกัน เมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งหัวหน้าคณะพูดคุยได้ว่างลง และการเจรจาพูดคุยได้หยุดลงจนทุกวันนี้
นี่คือประเด็นแรกที่ขอกล่าวถึงในบทความนี้ ซึ่งข้อใหญ่ใจความได้แก่ การขอร้องว่า อย่าติดอยู่กับศัพท์แสง อย่าถกเถียงวุ่นวายอยู่กับการตีความคำศัพท์ทางรัฐศาสตร์จนเกินไป เปิดใจรับฟังสองสถาน คือไม่ใช่ฟังแต่สถานลบ หากฟังสถานบวกด้วย ควรรับฟังถ้อยแถลงเชิงปฏิเสธให้ได้ยินสิ่งที่แฝงมาด้วย สิ่งซึ่งสะท้อนถึงหลักการที่ดีและผนวกประสบการณ์เชิงบวกที่มีมาแล้วและยังมีได้อีก แล้วก้าวข้ามความหวาดระแวงไปด้วยกัน
ประเด็นที่สองที่ขอเสนอในที่นี้คือเรื่องความยุติธรรมสมานฉันท์ เราอาจแบ่งกระบวนการยุติธรรมออกเป็น
1) ความยุติธรรมเชิงโทษทัณฑ์ (retributive justice) ที่เป็นกระแสหลักและใช้กันในเกือบทุกประเทศ โดยถือว่าอาชญากรรมเป็นการกระทำผิดต่อรัฐ ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามบทบัญญัติของกฎหมาย เหยื่อของอาชญากรรมอาจรู้สึกพอใจบ้างที่เห็นผู้ละเมิดถูกลงโทษ แต่โดยปกติจะได้ประโยชน์อื่นใดก็แต่น้อยจากการอำนวยความยุติธรรมเช่นนี้
2) ความยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional justice) ซึ่งมักใช้ในช่วงเวลาสำคัญ เช่น การเปลี่ยนผ่านจากการสู้รบไปสู่สันติภาพ หรือจากอำนาจนิยมไปสู่ประชาธิปไตย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขการละเมิดที่ร้ายแรงและระบุช่องทางในการแก้ไขสาเหตุเชิงโครงสร้างของการละเมิดเหล่านั้น เช่น การแก้ไขกฎหมาย การปฏิรูปการเมือง การเยียวยาทางวัฒนธรรม การใช้มาตรการทางตุลาการและนอกตุลาการ การตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริง การมีมาตรการคืนดี (reconciliation) โดยการจัดกิจกรรมรำลึก การขอโทษ และการสื่อความรู้สึกด้วยรูปแบบศิลปะต่าง ๆ เป็นต้น
3) ความยุติธรรมสมานฉันท์ (restorative justice) ที่ขอให้ผู้คนมองการละเมิดใดๆ ในฐานะการละเมิดต่อบุคคลอีกคนหนึ่งเป็นหลัก การประกอบอาชญากรรมในท้ายที่สุดเป็นการทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายความสัมพันธ์และชุมชน ความยุติธรรมเช่นนี้มุ่งพิจารณาความเสียหายที่เกิดแก่เหยื่อ การทำให้ผู้ทำผิดพร้อมรับผิดต่อการกระทำของตน และมักรวมถึงการให้ชุมชนเข้าข้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้วย
อันที่จริง นโยบายที่ สมช. กำลังยกร่างขึ้นนั้น คงกล่าวถึงความยุติธรรมอยู่แล้ว แต่นโยบายมักระบุถึงความยุติธรรมกระแสหลัก ส่วนความยุติธรรมทางเลือกนั้นมักกล่าวไว้เพียงกว้างๆ เช่น อำนวยความยุติธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพื้นที่ พัฒนาระบบงานยุติธรรมชุมชนและกระบวนการยุติธรรมทางเลือก ผ่านการสร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายยุติธรรมชุมชนหรือภาคประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือเยียวยา และผู้ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุม ทั่วถึง เป็นต้น โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงอยู่แล้ว เพียงแต่ยังมีข้อวิจารณ์ในเรื่องความทั่วถึงว่า ได้ให้รวมทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐด้วยหรือไม่
เว็บไซต์ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไว้อย่างดี สามารถสืบค้นได้ที่ https://knowledge.tijthailand.org/th/infographic/detail/what-is-rj-20-yrs-info เว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่า เป้าหมายของความยุติธรรมสมานฉันท์คือการทำให้คู่กรณีสามารถปรับความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ ผู้กระทำผิดสำนึกผิด และยินยอมเข้ารับการช่วยเหลือฟื้นฟูพฤติกรรม พร้อมทั้งเยียวยาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ผ่านคนกลางที่มีความรู้ความสามารถและทักษะในการทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างคู่กรณี วิธีการเช่นนี้ยังเป็นวิธีการที่ช่วยบรรเทาความแตกแยกได้ในหน่วยสังคมขนาดเล็กอย่างครอบครัว โรงเรียน หมู่บ้าน และชุมชนด้วย
คู่มือกระบวนการยุติธรรมสมานฉันท์ของสหประชาชาติได้จัดกลุ่มรูปแบบของกระบวนการที่พบมากที่สุดในโลก 3 รูปแบบด้วยกัน คือ (1) การไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายและผู้กระทำผิดโดยมีคนกลางเป็นผู้ประสาน (2) การประชุมกลุ่มเชิงสมานฉันท์ และ (3) การล้อมวงพิจารณาข้อพิพาท
ในด้านหนึ่ง ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง ผู้กระทำความรุนแรงต่างคิดว่าตนได้กระทำการโดยชอบตามสายบังคับบัญชา แม้บางครั้งจะเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือการกระทำความเสียหายโดยไม่ตั้งใจต่อบุคคลวงนอก แต่เป็นการยากที่ผู้กระทำจะรู้สึกผิด ดังนั้นรูปแบบที่หนึ่งข้างต้นอาจเกิดขึ้นได้ยากในช่วงเวลานี้ รูปแบบที่สองที่เป็นการประชุมกลุ่มสมานฉันท์นั้น อาจนำมาใช้ในด้านการป้องกันและการเฝ้าระวังเหตุรุนแรงในพื้นที่สาธารณะ เช่น ตลาด ศาสนสถาน โรงพยาบาล หรือพื้นที่ที่มีประวัติการใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายให้เกิดความร่วมมือเพื่อให้พื้นที่นั้น ๆ เป็นพื้นที่ปลอดภัย
รูปแบบที่สามที่เป็นการล้อมวงพิจารณาข้อพิพาทนั้น คงต้องการคนกลางไกล่เกลี่ย เพื่อให้มีการล้อมวงคุยกันในชุมชนหลังเหตุการณ์รุนแรงที่มีการมองต่างมุม ในวงสนทนาเช่นนี้ แต่ละคนควรเล่าเรื่องเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น ในแง่ข้อเท็จจริง เหตุจูงใจ การหลีกเลี่ยงความรุนแรงอันน่าจะได้กระทำ การเยียวยา การป้องกันความรุนแรงโดยอาศัยความร่วมมือ ฯลฯ การล้อมวงคุยไม่ใช่การกล่าวโทษ หากควรมองว่าปัญหาคือปัญหา (คนไม่ใช่ปัญหา) แต่ก็ไม่ใช่เป็นเพียงการมาช่วยกันรวบรวมเรื่องราวปัญหา หากเป็นการมาช่วยกันเปิดทางสู่เรื่องราวทางเลือกที่เป็นการสร้างความสัมพันธ์กันใหม่ในชุมชน
คนกลางไกล่เกลี่ยนอกจากจะมีทักษะในการฟังและการแสวงจุดร่วมแล้ว ควรมีทักษะวัฒนธรรม และมีความเข้าใจในเรื่องละเอียดอ่อนที่สัมผัสได้ยาก เช่น เรื่องเกียรติและศักดิ์ศรี การรักษาหน้า การเคารพภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ฯลฯ
การยุติธรรมสมานฉันท์เป็นการริเริ่มจากชุมชนดั้งเดิม เช่น ในนิวซีแลนด์ และคานาดา จึงจะขอยกตัวอย่างของนิวซีแลนด์โดยสังเขปดังนี้ ประชากรเมารีมีคำขอต่อรัฐบาล ให้ชาวเมารีมีอำนาจหน้าที่จัดการกับเยาวชนของตนเมื่อพวกเขาประกอบอาชญากรรม รัฐบาลจึงได้จัดทำกระบวนการนำร่องในรูปของการจัดประชุมผ่านขบวนการ มาตัว วันไก โมเดลสำหรับจัดการกับผู้ละเมิดที่เป็นเยาวชนเมารีนี้ ประสบความสำเร็จมากจนกระทั่งนำมาบัญญัติไว้ในกฎหมายของนิวซีแลนด์ในปี 2532 การจัดการกับอาชญากรรมทั้งหมดที่เยาวชนเป็นผู้ละเมิด ยกเว้นกรณีที่ร้ายแรงที่สุด แทนที่จะส่งขึ้นศาลโดยตรง จะถูกจัดการผ่านกระบวนการประชุมกลุ่มครอบครัว ทั้งครอบครัวใกล้ชิดและครอบครัวขยาย
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ได้มาจากหนังสือชื่อ “การปฏิบัติการไกล่เกลี่ยที่ใช้เรื่องเล่า : การคลายปมความขัดแย้ง” เขียนโดยจอห์น วินสเลด และเจอรัลด์ มังค์ เรื่องเล่านี้อาจไม่ตรงกับกรณีความขัดแย้งในชายแดนใต้ แต่ก็ขอนำมาขยายความเรื่องความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมที่สัมผัสได้ยากโดยสังเขป
เรื่องมีอยู่ว่า ชาวเมารีคนหนึ่งชื่อโรซา อ้างว่าเธอถูกนายจ้าง คือคณะกรรมการอำนวยการโรงเรียนชนบทแห่งหนึ่งในนิวซีแลนด์ ให้ออกอย่างไม่ยุติธรรม โรซาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่เมื่อหกปีที่แล้ว เธอเคยมีประสบการณ์การสอนก่อนหน้านี้ในส่วนอื่น ๆ ของนิวซีแลนด์และตื่นเต้นมากที่จะกลับมาเป็นครูใหญ่ในชุมชนของเธอเอง ซึ่งรวมถึงวาเนา (“กลุ่มครอบครัว”) และอีวี (“กลุ่มชนเผ่า”) ของเธอ ในหลายปีตั้งแต่นั้นมา โรงเรียนมีชื่อเสียงในด้านโปรแกรมการอ่านที่เป็นนวัตกรรมและประสบผลสำเร็จ ภาวะผู้นำของโรซาที่ทำให้พนักงาน ผู้ปกครอง และนักเรียนมาหนุนโปรแกรมนี้ได้รับการชมเชยโดยสำนักงานติดตามผลการศึกษาของนิวซีแลนด์ และชุมชนก็นับถือเธออย่างสูง
สิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปเมื่อมีกรรมการสามคนลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัว คณะกรรมการชุดใหม่ได้ยกประเด็นงบประมาณขึ้นมา โดยเฉพาะสัดส่วนของเงินที่ใช้ไปกับโปรแกรมการอ่านเมื่อเทียบกับสัดส่วนที่ใช้ในด้านอื่น ๆ ของหลักสูตร คณะกรรมการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ทำงานกับครูใหญ่เพื่อพยายามลดค่าใช้จ่ายในโปรแกรมการอ่านภายในสี่เดือน โรซาไม่ให้ความร่วมมือกับคณะอนุกรรมการ โดยขอให้พิจารณาว่าคณะอนุกรรมการได้ตั้งขึ้นมาโดยชอบหรือไม่ คณะกรรมการถือว่าการท้าทายเช่นนี้ไม่เหมาะสม และว่าเธอได้ก่อความเสียหายแก่ความเชื่อถือและความไว้วางใจของคณะกรรมการ โรซาจึงถูกพักงานและต่อมาถูกให้ออกจากงาน
ในที่ประชุมไกล่เกลี่ยมีวาเนา (กลุ่มครอบครัว) ของโรซาเข้าร่วมประชุมด้วย โรซาไม่ติดใจในเรื่องที่จะรับเธอกลับเข้าทำงาน แต่เธอแสดงความทุกข์ใจขณะที่ชูหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “บทความในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้กล่าวว่าฉันมีเรื่องมีราวกับคณะกรรมการ ฉันขายหน้าต่อสาธารณชนในชุมชนของเรา ฉันต้องการเอามานา (ชื่อเสียงและฐานะส่วนบุคคล) ของฉันคืนมา ฉันต้องการคำขอโทษในทางสาธารณะ และคำอธิบายจากคณะกรรมการลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน” ข้อเรียกร้องนี้ได้กลายมาเป็นจุดติดขัดในการที่จะไกล่เกลี่ยต่อไป
ผู้ไกล่เกลี่ยพยายามสั่นคลอนเรื่องราวความขัดแย้ง และเตือนความจำของผู้เข้าร่วมว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขามิได้เคยมีแต่เรื่องความขัดแย้งเพียงอย่างเดียว หากมีประวัติความสัมพันธ์ที่กว้างและรุ่มรวยกว่านี้มาก ชุมชนชนบทเล็ก ๆ ของชาวเมารีและปาเกฮา [ศัพท์ที่ชาวเมารีใช้เรียกชาวนิวซีแลนด์เชื้อสายยุโรป] มีสมาชิกของวาเนาและอีวี และมีปาเกฮาอยู่ในทั้งสองฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดประสงค์ให้เกิดความแตกแยกดังที่ได้เกิดขึ้น ที่ประชุมได้ตกลงกันเรื่องเงินชดเชยการออกจากงานได้ไม่ยากนัก แต่จะทำอย่างไรดีกับ มานา ของทั้งสองฝ่าย
พอดีมีกรรมการใหม่คนหนึ่งเสนอว่า “ทำไมเราไม่จัด “งานฮุย” [งานชุมนุมที่จัดโดยชุมชน] พิเศษขึ้นมาล่ะ จัดพิธีกรรมเพื่อรับรู้บริการที่โรซาให้แก่ผู้คนในอีวี โรงเรียน และคณะกรรมการ ถ้าเราแนะนำให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมารายงาน เป็นไปได้อย่างมากว่าพวกเขาจะมา และทำรายงานในทางที่ดีตามถนัดของพวกเขาเอง จะเป็นโอกาสที่จะฟื้นฟูมานา ให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง และแสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการกำลังเดินหน้าไปในทางบวก” ในที่สุดความขัดแย้งได้สิ้นสุดลง ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะจะได้ มานา ของตนคืนมา
ประเด็นสุดท้ายที่อยากเสนอต่อ สมช. ในการยกร่างนโนบาย จชต. คือประเด็นการยุติความรุนแรง อย่าลืมว่าปรมาจารย์การสงครามกล่าวว่า สงครามคือการดำเนินการทางการเมืองในรูปแบบอื่น ซึ่งขอตีความว่า การยุติสงครามหมายถึงการดำเนินการทางการเมืองในรูปแบบปกติ โดยยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน (cessation of hostility) ในช่วงการระบาดของโควิด -19 บีอาร์เอ็นประกาศว่าจะหยุดการปฏิบัติการเว้นแต่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน นโยบายความมั่นคงของรัฐบาลควรได้แก่การลดทอนเงื่อนไขความรุนแรงจากภาครัฐ และยุติการปฏิบัติการเชิงรุกทางการทหาร ยกเว้นเมื่อมีการปะทะกันซึ่งหน้า ถ้ามีความจำเป็นที่จะทำการปิดล้อม ตรวจค้น ก็ต้องไม่ทำการวิสามัญฆาตกรรม หากจะปิดล้อมอยู่นานเท่านาน โดยผู้ปิดล้อมอยู่อย่างปลอดภัยและอดทน จนกว่าผู้ต้องสงสัยจะมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
สรุปเป็นข้อเสนอสามประการดังนี้ 1) เจรจาพูดคุยสันติภาพอย่างเรียบง่าย โดยไม่เกี่ยงงอนเรื่องศัพท์แสง และควรยอมรับสถานภาพของผู้ร่วมเจรจาพูดคุย 2) พัฒนาและประยุกต์ใช้ความยุติธรรมสมานฉันท์ 3) ยุติปฏิบัติการเชิงรุกทางการทหาร การปิดล้อม ตรวจค้น ต้องไม่ลงเอยด้วยการวิสามัญฆาตกรรม แต่ใช้ความรอบคอบ อดทน เพื่อนำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
โคทม อารียา