ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดศึกรอบด้าน
อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีเพียงสองสัปดาห์โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ก่อศึกรอบด้าน ที่น่าสนใจมีอยู่ 2 เรื่อง 1 ทำการยึดครองกรีนแลนด์ 1 เก็บภาษีศุลกากร เป็นเหตุให้สะเทือนและกระทบไปทั่วโลก เรื่องยึดครองกรีนแลนด์ กลายเป็นภารกิจสำคัญของยุโรป พลันที่ทรัมป์ประกาศจะใช้กำลังทหารและยุทธวิธีทางเศรษฐกิจกดดันเพื่อให้ได้สิทธิครอบครองพื้นที่โพ้นทะเลของเดนมาร์ก ก็ร้อนถึง Mette Frederiksen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ต้องวิ่งรอกหลายประเทศในยุโรป เพื่อให้ร่วมกันต่อต้านพฤติกรรมของทรัมป์
โดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากหมายมั่นจะต้องได้อธิปไตยของกรีนแลนด์ ยังเรียกร้องให้บรรดาสมาชิกนาโตต่างต้องรับผิดชอบงบประมาณด้านกลาโหม เพราะทรัมป์กล่าวหาองค์การเหล่านี้ไม่ให้ความเป็นธรรมต่อสหรัฐ พฤติกรรมอันแข็งกร้าวของทรัมป์มีดีกรีสูงกว่าสมัยแรก นโยบายต่างประเทศเป็นการเด่นชัดยิ่งที่ชูธง America First ไม่แปรเปลี่ยน และกลายเป็นการคุกคามในระบบโครงสร้าง เป็นเหตุให้บรรดาประเทศยุโรปต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ มีข่าวว่า ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้โทรศัพท์คุยกับ Frederiksen โดยใช้ถ้อยคำที่แข็งกร้าวทำการข่มขู่จะต้องครอบครองกรีนแลนด์ หากเดนมาร์กไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรในรูปแบบการลงโทษ เนื่องจากการสนทนาไม่ลงรอย จึงต้องยุติลงกลางคันชนิดน้ำขุ่นๆ บรรยากาศทางการเมืองภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรงโดยพลัน
แม้กรีนแลนด์มีเสียงเรียกร้องความเป็นเอกราชก็ตาม แต่รัฐบาลปกครองตนเองแจ้งว่าประชากรบนเกาะ 7.5 หมื่นคนไม่มีความประสงค์ที่จะเป็น “คนอเมริกัน” และจากประชามติล่าสุดปรากฏว่าชาวเกาะร้อยละ 85 ไม่ต้องการให้เกาะที่ใหญ่ที่สุดของโลกกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 28 มกราคม นายกรัฐมนตรีเดนมาร์กได้เดินสายเบอร์ลิน ปารีส และบรัสเซลส์ โดยได้พบปะกับนายกรัฐมนตรีเยอรมนีและประธานาธิบดีฝรั่งเศส ตลอดจนเลขาธิการนาโต
เธอได้พรรณนาว่า การเดินสายครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรยุโรปอย่างดียิ่ง ทั้งนี้โดยยืนยันถึงความสำคัญของการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน นั่นก็คือ “หลักการสำคัญของระเบียบวินัยระหว่างประเทศที่รังสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง”
การที่ทรัมป์ได้เคยปรารภก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งว่า อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนมิใช่เป็นเรื่องที่จะละเมิดมิได้ นั้น จึงเป็นการบ่งบอกถึงความละอ่อนทางการเมืองและไร้เดียงสา
ส่วนเรื่องเรียกเก็บภาษีศุลกากร ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหาร 3 ฉบับ โดยเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกร้อยละ 25 จีนร้อยละ 10 ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่า เพื่อต้องการกดดันให้ 3 ประเทศช่วยกันระงับคนอพยพเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายและ Fentanyl เข้าสหรัฐ
การที่ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย และรัฐบาลจีนก็ได้เตรียมพร้อม เพื่อรับเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้น แต่การที่พันธมิตรอย่างแคนาดาและเม็กซิโกต้องตกอยู่ในบัญชีรายชื่อล็อตแรกนั้น เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
ทรัมป์คุยว่าภาษีศุลกากรทำให้อเมริการ่ำรวยมากขึ้น แต่ความจริงเพียงแต่ทำให้บรรดาธุรกิจของอเมริกาจะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นเท่านั้น ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดเชื่อว่าประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจะต้องทำการชำระตามควรแก่เหตุ จึงอนุมานว่าสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกจะต้องได้รับผลกระทบแน่นอน
ทรัมป์ได้อ้างอิงประวัติศาสตร์ปี 1870-1913 อเมริการ่ำรวยมาก เพราะรายได้จากภาษีศุลกากรเท่ากับกึ่งหนึ่งของรายรับรัฐบาลกลาง อีกทั้งยืนยันภาษีศุลกากรทำให้อเมริกันชนร่ำรวยมาก อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นพ้องกับทัศนคติของทรัมป์ เพราะสภาพเศรษฐกิจศตวรรษที่ 19 ไม่สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21
จึงไม่แปลกที่องค์กรวิจัย Budget Lab ของมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐชี้ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีนในครั้งนี้ จะเป็นเหตุให้ทุกครอบครัวของสหรัฐสูญเสียกำลังซื้อต่อปี 1,200 ดอลลาร์ กรณีจึงสรุปได้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ คงเข้าใจการเก็บภาษีศุลกากร เป็นการนำก้อนหินโยนใส่เท้าผู้อื่น แต่ความเป็นจริงน่าจะเป็นการเอาก้อนหินทุบนิ้วของตนมากกว่า