รุ่งเรือง พิทยศิริ : เมื่อผมเริ่มชอบทรัมป์

รุ่งเรือง พิทยศิริ : เมื่อผมเริ่มชอบทรัมป์

 

ครบหนึ่งเดือนที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาทำหน้าที่ ผมเริ่มมีความรู้สึกเปลี่ยนใจในหลายๆอย่าง อย่างแรกคือ ผมเริ่มมองข้ามความรู้สึกชังในพฤติกรรมห่ามหรือก้าวร้าวของเขาลง เข้าใจในตัวตนของแต่ละคนมากขึ้น แต่มองที่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการกระทำมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พอหลายๆเรื่องที่เขาประกาศก่อนหน้านี้ว่าดูเหมือนจะรุนแรง มันก็กลายเป็น กิมมิก (Gimmick) เพื่อให้ได้รับความสนใจในเวทีหาเสียงเลือกตั้ง และเมื่อดำเนินเวลาผ่านไป มาสู่การปฏิบัติจริง มันก็เริ่มจะกลืนไปกับความเป็นจริง และสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องสงครามการค้า การขึ้นกำแพงภาษีนำเข้ากับคู่ค้าทั้งหลาย

มันก็เป็นความจริงที่ว่า สหรัฐมีการขาดดุลการค้ากับนานาประเทศมากมาย เพราะพฤติกรรมของพลเมืองที่มีลักษณะชอบใช้ ชอบจ่าย ชอบใช้เงินในอนาคต ประเทศจึงมีหนี้สินมหาศาล แต่ก็ยังอยู่สบาย เพราะเขาเป็นมหาอำนาจที่สามารถพิมพ์เงินออกมาได้ไม่จำกัด ตราบเท่าที่ตลาดให้การยอมรับ แต่เขาก็ต้องขออนุมัติจากรัฐสภาในการเพิ่มวงเงินเพดานเงินกู้ ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ และต้องเผชิญหน้ากับการหยุดทำการของสำนักงานภาครัฐ ที่เรียกว่า Government Shut Down สิ่งที่ผมเห็นเป้าหมายเขาก็ชัดเจนว่า เขาต้องการแก้ปัญหาหนี้สินภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นที่การแก้ไขการขาดดุลการค้า อันทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้หนี้เงินต่างประเทศเพิ่มขึ้น

การปรับท่าทีการค้าของสหรัฐ เกิดขึ้นมาพร้อมกับการสนับสนุนภาคการผลิตภายในประเทศอย่างจริงจัง มีการออกหลักเกณฑ์ว่าหากบริษัทสหรัฐไปลงทุนนอกประเทศ ก็จะตามไปเก็บภาษีเพิ่มด้วย พอผมลงไปดูว่าสิ่งที่ทรัมป์ และไบเดน ดำเนินการสอดคล้องกันเรื่องการกีดกันด้วยกำแพงภาษีกับคู่ค้าอย่างจีนที่เขาขาดดุลมากๆ การค้ากับจีนก็มีสัดส่วนลดลงมาโดยลำดับจากร้อยละ 15.7 ในปี 2018 เป็นร้อยละ 10.9 ในปี 2024 ส่วนหนึ่งก็เพราะจีนก็พยายามลดความพึงพาการส่งออกไปสหรัฐลงเช่นกันด้วย จีนก็ไปค้าขายกับรัสเซียมากขึ้น รวมถึงในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ส่วนสหรัฐก็ไปค้าขายกับเวียดนาม แม็กซิโก ไต้หวันมากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วเป็นประเทศที่มีต้นทุนสินค้าต่ำแข่งขันได้จริงกับจีน จริงๆแล้ว ก็ที่สหรัฐจะใช้สินค้าของจีน หรือไต้หวัน เวียดนาม แม็กซิโก มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรมากมายที่แตกต่างในด้านราคามากหรอกครับ แต่ผมว่า ปัญหาสำคัญที่มีการกีดกันเรื่องการค้าตรงนี้ ก็เป็นเรื่องยกเอามาบีบ มากดดันให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีน โดยเฉพาะด้านอิเล็กทรอนิกส์ ชิป เอไอ เกิดอุปสรรคขึ้นมามากขึ้นต่างหาก

ADVERTISMENT

การสนับสนุนภาคการผลิตของสหรัฐมีมาทุกยุคทุกสมัย เห็นได้ชัดตั้งแต่อุตสาหกรรมรถยนต์ คือไม่ยอมปล่อยให้อุตสาหกรรมรถยนต์ตกต่ำลงมากๆเลย ช่วยเหลือให้การสนับสนุนมาตลอดตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาป จนมาถึงเรื่อง EV ก็ให้การสนับสนุนเงินทุนซื้อรถยนต์ EV คันแรก และปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กไม่ให้ล้ม ไม่ยอมให้ญี่ปุ่นเข้ามาซื้อกิจการ US Steel ยอมออกจากสนธิสัญญาโลกร้อน เพราะต้องการดูแลธุรกิจพลังงานในประเทศ และตอนนี้ก็มาเร่งให้การสนับสนุนธุรกิจเอไอ คือสนับสนุนอย่างมากมาย ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ รวมถึงธุรกิจเดต้าเซ็นเตอร์ด้วย ผมเห็นแล้วก็อิจฉาคนอเมริกาว่า ทำไมเขาได้รัฐบาลที่ดูแลเศรษฐกิจของคนในประเทศมากมายขนาดนี้ ไม่ยอมปล่อยให้ธุรกิจหลักๆเสียหายเหมือนบ้านเรา

รัฐบาลสหรัฐพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะไม่ยอมเสียการนำทางด้านเทคโนโลยีไปง่ายๆ แม้ว่าตอนนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะเสียการนำในบางเรื่องให้กับจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง Internet หรือเรื่องเครือข่าย ที่ประเทศจีนตอนนี้มีความก้าวหน้ามากกว่า และกำลังบดขยี้กันในเรื่องของ ความก้าวหน้าในเรื่องชิป Software ในการสร้าง AI-Chips เพื่อสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความก้าวหน้า ทดแทนมนุษย์ได้มากอย่างได้มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการพัฒนานวัตกรรมของอุตสาหกรรมเขา ที่จะล้ำยุค มีราคาค่างวดมากมาย เสมือนโทรศัพท์แอปเปิ้ลที่มีราคาแพงลิบลิ่ว จนมูลค่ากิจการสูงกว่า GDP ประเทศไทยเสียอีก ตอนนี้เขากำลังปั้นโครงการอย่าง Stargate โดยอาศัยเงินทุนจากเอกชนทั้งหมด มาพัฒนาอุตสาหกรรม AI แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ ผมเชื่อว่าเป้าหมายคือการนำ AI-Chips ที่ล้ำหน้าออกมาใช้งานอย่างแพร่หลายในสหรัฐต่อไป รวมถึงการบริหารจัดการให้มีโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูลการสั่งการต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของภาคเอกชนในอนาคต อย่างพอเพียงและเพียงพอ เพราะในอนาคตแทบจะทุกอุปกรณ์ก็จะต้องมีศูนย์สั่งการ ศูนย์ข้อมูล ใช้ในการควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ขายกันแพร่หลายทั่วโลก  เรียกว่าต่อไป คงมีแต่กดปุ่ม ฟังเสียง อ่านม่านตา ชมการเคลื่อนไหวทั้งนั้น ทุกอย่างมีการบันทึกจดจำในระบบของทุกเครื่องมือที่ใช้งาน ใครชอบทำอะไรประจำแบบไหน จะถูกบันทึกไว้ในระบบที่มีความเชื่อมโยงกันหมด

ADVERTISMENT

ผมไม่อยากเบี่ยงประเด็นไปเรื่องการแข่งขันการพัฒนาเทคโนโลยี แต่ผมพยายามจะบอกว่าทรัมป์เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมากๆ และการอุ้มชูธุรกิจหลักๆของคนอเมริกัน ไม่ว่าเขาจะมีบุคลิกภาพแบบไหนก็ตาม แต่การดำเนินนโยบายที่รักษาผลประโยชน์ของชาติมาก่อน เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม นอกจากนั้นแล้ว ในหลายๆรัฐบาลก็ไม่เคยมีการพูดถึงการลดหนี้สาธารณะลงเหมือนทรัมป์ที่เมื่อเข้ามาทำงานก็ยิ่งประกาศชัดว่า เขาต้องเร่งลดรายจ่ายทุกๆด้านของประเทศที่ได้ไม่คุ้มเสีย ตั้งแต่การจ้างบุคลากรในหน่วยงานรัฐที่มากเกิน การจ้างพวกพลเมืองสีรุ้งและด้อยโอกาสมาทำงานที่มีความเสี่ยงสูง การลดกระบวนการซ้ำซ้อนในหน่วยงานภาครัฐ และเอาเทคโนโลยีมาใช้ลดค่าใช้จ่าย ถึงขนาดตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาปรับปรุงประสิทธิภาพภาครัฐ ที่เรียกว่า DOGE

ผมเห็นว่าเขาจริงจังมากกับการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ ลดค่าใช้จ่ายการสนับสนุนด้านกลาโหมต่อกลุ่มนาโต้ บีบเต็มที่ให้ทุกชาติต้องลงขันตามกติกา และจะยกเลิกการสนับสนุนงบประมาณกลาโหมให้กับยูเครน ซึ่งต่อรองว่าหากจะสนับสนุนต่อต้องแลกกับการได้มาซึ่งแร่หายากในราคาพิเศษ ซึ่งสหรัฐขาดแคลนจากการที่จีนไม่ยอมขายให้และต้องใช้เพื่อนำมาผลิตชิปคอมพิวเตอร์ เขาสามารถจับผิดประธานาธิบดียูเครนว่าเงินที่เคยสนับสนุนด้านกลาโหมไปในอดีต ถูกนำไปใช้ผิดประเภท ผิดวัตถุประสงค์ และมีข้อกล่าวหาว่ามีการคอรัปชั่นเกิดขึ้นด้วย สงครามยูเครนกับรัสเซีย ท่าทางยูเครนอาจจะจบไม่สวยซะแล้ว

แต่หากทรัมป์ดำเนินการได้ตามนี้ เขาคงลดค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมลงมหาศาล เขาได้พูดชัดเจนเลยว่าเขาต้องการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ จากที่ประธานาธิบดีคนก่อนๆ ไม่เคยพูดเลย ต้องรอให้ธนาคารกลางอย่างเฟดออกมาเตือนรัฐบาล ว่าอย่าลืมรักษาวินัยการคลัง

ผมว่าการทำงานของเขาหนึ่งเดือน เห็นรูปธรรมเหมือนกับการทำงานมาแล้วหนึ่งปี อย่างไรก็ดีคงจะไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ง่ายๆกับเมืองไทย เพราะอำนาจของประธานาธิบดี มันมากกว่าอำนาจของนายกรัฐมนตรีมากมาย ภายใต้การปกครองแบบ สหรัฐ ก็คือ สห บวกกับคำว่า รัฐ คือเป็น Federal Government อำนาจของประธานาธิบดีมีมากมายใหญ่โตเหลือเกิน ถึงออกคำสั่งเป็นกฎหมายคล้ายพระราชกำหนดได้เลย แต่ก็นั่นแหละครับ การที่ผู้นำให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนในชาติ ความเดือดร้อนในการค้าขาย ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม

ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า การที่สหรัฐพึ่งประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 10 และยังไม่ประกาศขึ้นในขั้นต่อไป เพราะพยายามจะรักษาไมตรีกับจีน เพื่อรอให้การเจรจาความเรื่องติ๊กตอก TikTok บรรลุผลสำเร็จ เพราะเป็นความต้องการของมหาชนชาวอเมริกันอย่างมาก ที่จะอยากเห็นสหรัฐเข้ามาเป็นเจ้าของ TikTok ในอเมริกา และมันก็คงจะมีผลประโยชน์อื่นๆเกิดขึ้นกับสมัครพรรคพวกตามมาอีกด้วยแหละครับ แต่อย่างไรก็ดี มันก็เป็นเรื่องมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคนอเมริกันจำนวนมาก จนเรียกว่า TikTok อาจทำให้การขึ้นภาษีกับจีน ยืดเวลาช้าลงไปก่อน

หลายคนที่เคยกังวลว่าการขึ้นภาษีนำเข้ากับคู่ค้ารอบทิศ โดยเฉพาะกับจีน จะนำมาซึ่งเงินเฟ้อพุ่งสูงในประเทศนั้น ตอนนี้ก็อาจจะเริ่มคลายกังวลลง เพราะอะไรครับ อย่างแรกการขึ้นภาษีกับจีน มันเริ่มต้นด้วยแค่ร้อยละ 10 และทำช้ามาก อย่างที่สอง หากนำเข้าจากจีนน้อยลง มันก็มีที่อื่นมาแทนที่ เช่น เวียดนาม ไต้หวัน รัสเซีย ซึ่งก็ใช่ว่าของจะแพงกว่าจีนมากมาย มันก็อาจจะทดแทนกันได้ ไม่ใช่ว่าพอนำเข้าจากจีนลดลง จะใช้ของในสหรัฐแทนที่ทั้งหมดเสียเมื่อไหร่ อย่างที่สาม ท่านทรัมป์ประกาศชัดและผ่านรัฐมนตรีคลังคนใหม่ว่า เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะลดเงินเฟ้อในสหรัฐให้จงได้ และเฟดก็จะต้องลดดอกเบี้ยต่อไป

เขาจะทำอย่างไรหรือครับ เขาบอกว่าเขาจะปรับโครงสร้างพันธบัตรหนี้ต่างประเทศของเขา จากที่สั้นๆ ให้เป็นยาวมากขึ้น นอกจากเพื่อลดภาระการชำระคืนหนี้เงินกู้ในช่วงนี้ลงและสามารถนำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น มันจะเป็นการทำให้หนี้มีอายุยาวขึ้น เงินดอลล่าร์ก็จะอ่อนคงลงได้บ้าง ก็จะลดปัญหาการขาดดุลการค้าลง จริงๆแล้วการดำเนินการแบบนี้ผมก็อยากเห็นรัฐบาลไทยเลียนแบบเอามาใช้นะครับ เพราะตอนนี้เราก็มีปัญหาคล้ายสหรัฐคือเราติดกับดัก เพดานหนี้เงินกู้ต่อปี ทำให้ไม่สามารถกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว หากเศรษฐกิจไม่เติบโตมากพอ เพราะมันเป็นเพดานที่เทียบต่อจีดีพี

ผมก็กำลังเฝ้าดูว่าเขาจะประสบความสำเร็จในการควบคุมเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องไม่ง่าย ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เงินเฟ้อในสหรัฐก็กลับมาพุ่งสูงขึ้นเกินคาด ในอังกฤษก็เช่นกัน ในยุโรป ก็เช่นกัน รวมถึงในญี่ปุ่นที่เงินเฟ้อพุ่งทะยานมาก มีแต่ประเทศเราที่เงินเฟ้อต่ำเตี้ย แต่ธนาคารกลางก็ยังไม่ยอมลดดอกเบี้ย ด้วยอาการหมั่นไส้รัฐบาลเป็นทุนเดิมครับ อยากให้เห็นใจรัฐบาลบ้าง เพราะมือไม้ก็ถูกตราตรึงไว้หมด เดินไม่ออกง่ายแล้ว ประเทศเราจะเป็นอย่างไรต่อไปน้อ อิจฉาสหรัฐ

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image