ผู้เขียน | ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ |
---|
ว่ากันว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีชุดข้อมูลเกี่ยวกับผีเสื้อดีที่สุดในโลก ทั้งที่เกี่ยวข้องกับชนิด (สายพันธุ์) และจำนวนของผีเสื้อที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของสหรัฐอเมริกา
คอลลินส์ เอ็ดเวิร์ดส์ นักนิเวศวิทยาจากกระทรวงการประมงและสัตว์ป่า สาขาวอชิงตัน ระบุว่า ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากในสหรัฐอเมริกามีอาสาสมัครเป็นจำนวนมากที่หลงใหลในความสวยงามของผีเสื้อ อาสาใช้เวลารวมกันนับเป็นหลายแสนชั่วโมง ติดตามและจับตาบรรดาผีเสื้อเหล่านี้ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้การติดตามและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผีเสื้อดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนานหลายทศวรรษแล้ว
จากข้อมูลดิบดังกล่าวทำให้บรรดานักวิจัยที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผีเสื้อโดยเฉพาะมากกว่า 30 คน สามารถนำข้อมูลเบื้องต้นดังกล่าวมาสังเคราะห์ จนได้ภาพรวมที่ชัดเจนว่าด้วยสถานะของผีเสื้อทั่วประเทศ ปัญหาก็คือ สถานการณ์ของผีเสื้อที่ได้มากลับชวนให้วิตกกังวล ด้วยเหตุที่ว่า นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จำนวนผีเสื้อในสหรัฐอเมริกาลดลงโดยเฉลี่ยแล้วมากถึง 22 เปอร์เซ็นต์ จำนวนผีเสื้อที่ลดลงอย่างมากนี้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนของประเทศ และเกิดขึ้นกับผีเสื้อทุกชนิดเหมือนกันทั้งหมด
บางคนอาจคิดว่า 22 เปอร์เซ็นต์เป็นตัวเลขที่ไม่มากมายเท่าใดนัก แต่นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยคอนเนกติกัต อย่าง เดวิด วากเนอร์ กลับชี้ให้เห็นว่าอัตราการหายไปของผีเสื้อดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ระดับ “ปรากฏการณ์” เพราะเท่ากับว่า ผีเสื้อลดจำนวนลงอย่างน้อย 1 ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปีต่อเนื่องกันทุกปีนานมากกว่า 2 ทศวรรษแล้ว
ทีมวิจัยพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวมีผีเสื้อเพียง 3 เปอร์เซ็นต์จาก 554 สายพันธุ์เท่านั้นที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น กลุ่มผีเสื้อเหล่านี้มักเป็นผีเสื้อที่พบเห็นกันในสวน หรือลานบ้าน อันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ เอ็ดเวิร์ดส์อธิบายว่า จำนวนผีเสื้อที่หายไปนี้ไม่ได้เกิดจากการที่ผีเสื้อชนิดหนึ่งชนิดใดลดจำนวนลงมหาศาลจนดึงให้ปริมาณโดยรวมน้อยลง แต่เกิดจากการลดลงของทุกสายพันธุ์ ที่ทำให้น่ากังวลก็คือ ในส่วนของสายพันธุ์ผีเสื้อที่ถือเป็นดัชนีมัธยฐานนั้น อัตราการลดลงมากเกินกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป
เอ็ดเวิร์ดส์ระบุว่า การลดจำนวนลงของผีเสื้อที่พบนี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและทั่วถึง ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ต้องไม่มีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานกันจนกลายเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดผลใหญ่โตเช่นนี้
สาเหตุที่ทำให้ผีเสื้อหายไปเป็นจำนวนมากนั้นมีตั้งแต่การสูญเสียพื้นที่อยู่อาศัย และแหล่งอาหารจากการนำที่ดินไปใช้เพื่อการเกษตรหรืออย่างอื่น, การใช้ยาฆ่าแมลงในการทำเกษตรกรรม ซึ่งส่งผลร้ายโดยตรงต่อผีเสื้อ และสุดท้ายคือปัญหาการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของภูมิอากาศ ที่ทำให้หลายพื้นที่ของสหรัฐร้อนขึ้นและแห้งแล้งมากขึ้น
ปัญหาที่ใหญ่โตมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ถ้าปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผีเสื้อหายไปได้ ก็สามารถทำให้แมลงอื่นๆ ตั้งแต่แมลงเต่าทอง เรื่อยไปจนถึงตัวต่อ หดหายไปได้เช่นเดียวกัน วากเนอร์ชี้ว่า ถ้าหากผีเสื้อลดจำนวนลงในอัตรา 1.3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แมลงอีก 10 ล้านสายพันธุ์ซึ่งอาศัยร่วมอยู่บนโลกใบเเดียวกับเราก็กำลังตกที่นั่งลำบากในระดับใกล้เคียงกัน และยืนยันว่า “หากปราศจากแมลงเหล่านี้ ธรรมชาติก็จะล่มสลายในที่สุด”
เอ็ดเวิร์ดส์ยอมรับว่า การแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุทำให้ผีเสื้อหายไปนี้จำเป็นต้องทำเป็นนโยบายระดับชาติหรือระดับนานาชาติ เขาบอกว่าไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้ด้วยตัวเอง เท่าที่ทำได้ในเวลานี้ในระดับตัวบุคคลก็คือ การปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ในสวนหลังบ้าน เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของหนอนและผีเสื้อ ซึ่งเป็นได้แค่เพียงการบรรเทาผลกระทบให้เบาบางลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ปัญหาผีเสื้อที่หายไปในสหรัฐอเมริกา เป็นอุทาหรณ์ที่ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนไปยังมนุษย์ทุกคนบนโลกในนี้ ให้ตระหนักในคุณค่าของสรรพสัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป