ศึกษาธิการขึ้นแท่น เกรดเอ?

ทั้ งๆ ที่สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบท่วมท้น 322 เสียง ต่อ 158 เสียง

สะท้อนถึงความต้องการกอดคอ ต่อรอง อยู่ร่วมรัฐบาลกันต่อไปอย่างชัดเจน

ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ปรากฏข่าวปล่อย ปล่อยข่าว การปรับคณะรัฐมนตรีออกมาอย่างน่าเคลือบแคลงเป็นอันมาก

ด้วยการอ้างแหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทยเพื่อให้ผู้เสพเข้าใจว่าเป็นความเรียกร้องต้องการของพรรคภูมิใจไทยเป็นหลัก

ต้นตอต้องการสร้างกระแส ลดความกดดันจากสถานการณ์เลวร้ายรอบด้าน แต่ข่าวปล่อยกลับเชย และไม่แนบเนียนเอาเสียเลย

ADVERTISMENT

ตัวอย่างเอากระทรวงมหาดไทยมาแลกกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีความเป็นไปได้ต่ำมาก

เป็นที่รับรู้กันในหมู่นักคณิตศาสตร์การเมือง มหาดไทยได้ชื่อว่าเป็นกระทรวงเกรดเอมาตลอด รองจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะภารกิจกว้างขวาง ควบคุมผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีผลต่อการเลือกตั้งทุกระดับ

จะให้มาแลกกับกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดว่าเป็นกระทรวงเกรดบี หรือเกรดซีด้วยซ้ำ จึงไม่อยู่ในสายตาของพรรคการเมือง นักการเมือง

เหตุผลรองรับที่เอากระทรวงมหาดไทยมาแลกกับศึกษาธิการน่าจะมาจากการเทียบเคียงงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ศึกษาธิการ 355,108 ล้านบาท เป็นอันดับ 2 รองจากกระทรวงการคลัง วงเงิน 397,856 ล้านบาท ส่วนกระทรวงมหาดไทย วงเงิน 301,265 ล้านบาท

แต่งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการที่ว่ามากนั้น เป็นงบปกติ หมวดเงินเดือน เงินตอบแทนเสียกว่า 80% งบลงทุนพัฒนา 15% เศษ

ความเป็นไปได้ยากประการที่ 2 ของข่าวปล่อยก็คือ ทั้งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการอยู่ในโควต้าการดูแลรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเอามาแลกกัน

สรุปเจตนาการปล่อยข่าวก็คือ ความต้องการเอากระทรวงมหาดไทยคืน เลยโยนหินถามทาง หยั่งท่าทีของพรรคภูมิใจไทยจะเป็นอย่างไร

แต่แทนที่จะเอากระทรวงอื่นๆ ที่น่าสนใจมากกว่า กลับเอากระทรวงศึกษาธิการซึ่งภูมิใจไทยครอบครองอยู่แล้วมาแลก ใครจะยอม

ที่น่าดีใจสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ เที่ยวนี้ถูกมองเห็นความสำคัญ จากเกรดบี ซี ขึ้นแท่นเป็นเกรดเอ ยกระดับเอาไปเทียบชั้นกับกระทรวงมหาดไทย

จริงๆ ก็ควรเป็นเกรดเอมาตั้งนมนานแล้ว เพราะเป็นกระทรวงสำคัญ สร้างทุนทางปัญญา พัฒนาทุนมนษย์ แต่กลับไม่อยู่ในสายตาของนักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งหลายแหล่ เพราะงบที่จะให้งาบมีน้อยเกินไป

ในที่สุดข่าวปล่อยนี้ก็ถูกปฏิเสธอย่างเป็นทางการจาก น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังไม่ได้รับแจ้งจากนายกฯว่าจะมีการปรับ ครม.และไม่มีแกนนำพรรคเพื่อไทยประสานไปที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น ข่าวเกี่ยวกับการปรับ ครม.ทั้งหมด
ที่ออกมาและเกี่ยวพันกับพรรคภูมิใจไทยจึง
ไม่เป็นความจริง พรรคภูมิใจไทยไม่เคยเสนอเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับการปรับ ครม.ให้นายกฯ หรือพรรคเพื่อไทย

และทันทีที่กลับจากต่างประเทศ นายอนุทินย้ำหนักแน่น ยืนยันว่ายังไม่มีการพูดคุยใดๆ เรื่องการปรับ ครม. หากมีการถามมายังพรรคภูมิใจไทย ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะได้คุยในเบื้องต้นภายในพรรคแล้วว่ารัฐมนตรีทุกคนยังทำงานได้อย่างเต็มที่ กระทรวงที่กำกับดูแลในส่วนของพรรคภูมิใจไทยก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

ยิ่งเป็นการยืนยันชัดว่า ข่าวที่ออกมาก่อน หน้านี้ล้วนเป็นรายการปล่อยข่าวของนักการเมืองเขี้ยวลากดิน พรรคไหนเดากันเอง

กล่าวสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ แม้เจ้าตัวจะไม่แสดงอาการวิตกหวั่นไหว ไม่มีปัญหาอะไร ทำนองนั้นก็ตาม ไม่น่าจะเปลี่ยนตัวเร็วเกินไป เพราะนอกจากทำให้เกิดภาวะชะงักงัน ทั้งนโยบายและงานแล้ว คนใหม่ต้องเริ่มตั้งต้นกันใหม่อีก

ประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย กระทรวงศึกษาธิการยังคงเป็นกระทรวงที่เปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยที่สุด

ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจึงเป็นปัญหาหลักของการพัฒนาการศึกษามาตลอด เพราะขาดความต่อเนื่องทางนโยบาย

การศึกษาไทยถึงตกต่ำย่ำแย่ เพราะเหตุนี้ด้วยประการหนึ่ง

แทนที่จะเป็นกระทรวงหลัก ทุกพรรคเลือกก่อน คงเป็นกระทรวงเผื่อเลือกต่อไป

สภาพที่ผ่านมายังคงเป็นอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พรรคและนักการเมืองไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างแท้จริง

รัฐมนตรีล่าสุดออกตัวนโยบาย เรียนดี
มีความสุข ลดภาระครู ลดภาระนักเรียน ลดภาระผู้ปกครอง ตรงปกแค่ไหน นั่นเรื่องหนึ่ง

กับประกาศยกระดับคุณภาพการศึกษา
ผลคะแนนทดสอบปิซ่า (PISA 2025) รอบใหม่ต้องเพิ่มขึ้น ถ้าไม่เพิ่มจะพิจารณาตัวเอง

ฉะนั้น อย่าเพิ่งเปลี่ยนตัว จะได้พิสูจน์คำสัญญาที่ให้ไว้ และผลของการพัฒนากระบวนการทดสอบปิซ่าให้คะแนนเพิ่มว่าได้ผลอย่างไร

คะแนนเพิ่มขึ้น รมต.ได้อยู่ต่อ

ไหนๆ พร้อมจะไปอยู่แล้วก็ให้อยู่ไปอีกสักพัก เพื่อพิสูจน์ผลงานและนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาที่ทำมา ว่าเดินถูกทางหรือไม่

แล้วค่อยลุ้นกันต่อว่า รมว.ศธ.คนใหม่จะเป็นใคร พรรคไหน เมื่อการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์รอบใหม่ลงตัว

ส่วนคุณภาพการศึกษาก็คงเป็นแค่วาทกรรมต่อไป