เนื้อดิน บ่มสร้าง ขุนนาง “ขุนศึก” ท้องถิ่น ท้าทาย อำนาจรัฐ

เมื่อศึกษาผ่าน ประวัติศาสตร์จีนŽ จะยิ่งมองเห็นรากฐานแห่ง ทัพโพกผ้าเหลืองŽ และผลสะเทือนในลักษณะต่อเนื่อง เพราะ ทวีป วรดิลก อาศัยการวิเคราะห์ของฟิตซ์เจอรัลด์และอีเบอร์ฮาร์ทสร้างความกระจ่าง
2 คนนี้ล้วนศึกษาประวัติศาสตร์จีนอย่างยาวนาน

กบฏโพกผ้าเหลืองที่ระบาดไปในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกของอาณาจักรแม้จะพ่ายแพ้ไปในชั่วเวลาอันสั้น

โดยทางการรัฐบาลปราบปรามอย่างเฉียบขาดและทารุณ

ทุกๆ เขตปกครองในดินแดนภาคเหนือและภาคตะวันออกซึ่งมีผู้ถูกทหารรัฐบาลเข่นฆ่าเขตละหลายพันคนทุกเขต แม้ว่าการสู้รบด้วยกำลังอาวุธจะสิ้นสุดลงแต่กว่าจะสามารถทำให้ชาวนากลับคืนไปสู่ที่ดินทำกินของตนได้โดยสมบูรณ์

ก็ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี

ADVERTISMENT

ยิ่งกว่านี้ กบฏโพกผ้าเหลืองยังคงมีชีวิตชีวาอยู่ในความทรงจำของชาวนาตลอดจนผู้คนในชนบททั้งหลายต่อมาอีกหลายต่อหลายศตวรรษ

กบฏครั้งนี้ซึ่งฟิตซ์เจอรัลด์เห็นว่า เป็นสาเหตุโดยตรงแห่งการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นเป็นแบบฉบับขนานแท้และดั้งเดิมของการเคลื่อนไหวมวลชนอย่างกว้างขวางและทั่วถึง อันมีสมาคมลับที่มีความเชื่อถือในสิ่งเร้นลับริเริ่มด้วย กบฏครั้งนี้จึงอุบัติขึ้นมา

เป็นการประท้วงต่อการปกครองที่ผิดพลาดในยุคสมัยต่างๆ ในภายหลัง

การเคลื่อนไหวของมวลชนทำนองเดียวกันนี้ในสมัยหลังๆ มีหลายต่อหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดที่อ้างว่าตนสืบต่อจากมรดกอันได้แก่คำสอนลึกลับของผู้ก่อตั้ง (กบฏ) โพกผ้าเหลือง

ผู้ให้คำมั่นแก่บรรดาสาวกและสานุศิษย์ของตนว่า เมื่อได้เข้าร่วมในพิธีกรรมปลุกเสกเวทมนตร์คาถาแล้วถ้าตายในการสู้รบก็จะสำเร็จได้เป็นเซียน

ทั้งกบฏโพกผ้าเหลืองและลัทธิข้าวสารห้าโต่วในกาลต่อมาได้ปลุกระดมชาวนาให้จับอาวุธต่อต้านทางการบ้านเมืองอยู่เป็นเวลาถึงสามทศวรรษได้ทำลายอาณาจักรอย่างร้ายแรง

ศาสตราจารย์อีเบอร์ฮาร์ทเห็นว่า การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลครั้งนี้มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งนับแต่นี้ไปก็ได้กลายเป็นแบบฉบับของการลุกฮือขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลของประชาชนทำนองเดียวกันนี้ทั้งหมด

บรรดาผู้นำที่เป็นปัญญาชนมักจะเป็นผู้นำทางลัทธินิกายหรือศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย

ในความเห็นของ ทวีป วรดิลก ผลสำคัญที่ได้จากกบฏโพกผ้าเหลืองที่เห็นกันโดยชัดแจ้งก็ได้แก่ อำนาจการปกครองของราชอาณาจักรฮั่นสลายลง เพราะในการปราบกบฏโพกผ้าเหลืองนั้น ผู้บังคับบัญชากำลังทหารเข้าสู้รบได้แก่แม่ทัพหรือขุนศึก

ซึ่งส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดมาจากตระกูลเจ้าที่ดินใหญ่ๆ ที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพส่วนตัวของตนจนสามารถพิชิตกบฏโพกผ้าเหลืองได้

แต่อำนาจและอิทธิพลของขุนศึกประจำถิ่นยังคงมีต่อไปอีกจนถึงเข้ายึดกุมองค์จักรพรรดิเพื่อเอาไว้เป็นตัวประกันเพื่อเป็นการแสดงถึงความชอบธรรมของอำนาจการปกครองของตน

ยังผลให้อาณาจักรต้องแบ่งแยกจนต้องตกอยู่ภายใต้ กลียุคŽ มีการสู้รบกันโดยตลอด

การเกิดขึ้นของอิทธิพลของขุนศึก ประจำถิ่นŽ คือผลและความต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏขึ้นของโฮจิ๋นหรือเหอจิ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏขึ้นของตั๋งโต๊ะ

ในที่สุดก็เป็นการปรากฏขึ้นของอ้วนเสี้ยว โจโฉ เล่าปี่และซุนเกียน

ยิ่งอ่าน มหาอาณาจักรฮั่นŽ ที่ดำรงสถานะการอ่านประวัติศาสตร์ด้วยสายตานักบริหารระดับ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ยิ่งสัมผัสได้ใน รากฐานŽ และ การเปลี่ยนแปลงŽ

โครงสร้างการเมืองของฮั่นตะวันออกมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากยุคอื่น เป็นการเกื้อหนุนส่งเสริมกันระหว่างฝ่ายปกครองและนายทุนใหญ่ในท้องถิ่น

อันมีสาเหตุมาจากเงินทุนก้อนแรกของหลิวซิ่วที่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสัวต่างๆ ในเมืองเหอเป่ย ส่งผลให้พ่อค้านายทุนเข้ามามีบทบาททางการเมือง ประกอบกับระบบคัดเลือกบัณฑิตและคุณธรรมกตัญญู

ซึ่งเป็นระบบ Nominating ผ่านขบวนการเสนอชื่อจากท้องถิ่นตั้งแต่สมัยฮั่นอู่ตี้เปิดโอกาสให้ลูกหลานพ่อค้าวาณิชเข้าสู่ระบบทางการเมืองจากการซื้อขายตำแหน่ง

เมื่อกลุ่มท้องถิ่นเข้าสู่อำนาจทางการเมืองวัตถุประสงค์เพื่อตักตวงผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของชาวบ้านแม้แต่น้อย

บางครั้งมีการสะสมกองกำลังอาวุธและกำหนดกฎหมายเสียเอง

โดยเฉพาะตามหัวเมืองที่ห่างไกลจากอิทธิพลจากราชสำนัก ตราบใดที่ฮ่องเต้มีความเข้มแข็ง ปัญหาเหล่านี้ก็จะถูกบรรเทาลดลง ในทางกลับกัน หากฮ่องเต้อ่อนแอไม่ใส่ใจการบริหารบ้านเมือง ปัญหาก็จะโผล่ขึ้นเหนือน้ำ

ลุกลามใหญ่โต ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของราษฎรในท้องถิ่น

ปลายฮั่นตะวันออก การเมืองเสื่อมโทรม ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นดั่งมะเร็งร้ายที่เกาะกินสังคมในยุคหวนตี้ยึดอำนาจคืนจาก
เหลียงไท่โฮ่วด้วยการช่วยเหลือจากขบวนการขันที

ซ้ำยังได้กำจัดเหลียงอี้ที่ทุจริตรับสินบนมากว่า 20 ปี สามารถยึดทรัพย์คืนกว่า 3 ล้านตำลึง

คิดเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้ภาษีทั่วประเทศในขณะนั้น

ครั้นถึงยุคหลิงตี้ (คนไทยคุ้นเคยในนามพระเจ้าเลนเต้) อิทธิพลของขบวนการขันทีครอบคลุมทั่วราชสำนักโดยเฉพาะขันทีใกล้ชิดพระองค์จำนวน 10 คนที่เรียกรวมกันว่า แก๊งสิบคนŽ

การรีดนาทาเร้นประชาชนและเบียดบังทรัพย์ของหลวงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นแม้แต่ฮ่องเต้หลิงตี้ยังถูกโน้มน้าวหว่านล้อมจาก แก๊งสิบคนŽ กลายเป็นคนละโมบโลภมาก ไม่ใส่ใจบริหารบ้านเมือง

คิดแต่วิธีกอบโกยเงินทองเพื่อความสุขส่วนตัว เปิดให้ซื้อขายตำแหน่งขุนนางในราชสำนักอย่างเป็นทางการ

เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคเสื่อม ราชสำนักตั้งแต่ฮ่องเต้ลงมาจนถึงขุนนางท้องถิ่นจ้องแต่ขูดรีด กอบโกยทรัพย์สินจากราษฎร ชาวบ้านผู้ไม่ยอมทนทุกข์ต่อโชคชะตาหันมาจับอาวุธต่อสู้กับทางการ

กบฏโพกผ้าเหลืองŽ จึงก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้สถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้

ในความเห็นของ ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ด้านหนึ่ง จางเจี่ยว (เตียวก๊ก) สามารถปลุกระดมมวลชนขึ้นทวงความยุติธรรมในสังคม ถึงแม้ไม่สำเร็จแต่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การปกครองของราชวงศ์ฮั่นตะวันออกสั่นคลอนทรุดลงจนเสื่อมอำนาจ

ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง หลังปราบกบฏสำเร็จ อาณาจักรฮั่นตะวันออกหาได้กลับสู่ความรุ่งเรืองดังเก่าไม่

แต่กลับกลายเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ขุนศึกท้องถิ่น

การเติบใหญ่ของขุนศึกที่สร้างความเป็นเอกเทศจากยุคเริ่มต้นไม่ว่าเหอจิ้น ไม่ว่าตั๋งโต๊ะ จึงเป็นเรื่องน่าศึกษาอันแตกต่างไปจากปลายยุคฉิน

เนื้อดินŽ อย่างไรในสังคมจีนจึงก่อให้เกิด ขุนศึกŽ และอำนาจ ท้องถิ่นŽ ขึ้นเช่นนี้