ย้อนอดีต 2518 ไทยเรียกทูตกลับ ประท้วงสหรัฐละเมิดอธิปไตย
กรณีกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ได้เชิญนายตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับมาเพื่อหารือข้อราชการตามปกติ ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชานั้น กรณีคล้ายคลึงนี้ ได้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน เมื่อรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เคย “ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อปรึกษาข้อราชการ” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้นำรัฐบาลไทย และกระทรวงการต่างประเทศในยุคนั้น ได้แสดงท่าทีที่หนักแน่นและชัดเจนมาก เหตุการณ์นี้จบลงด้วยการที่รัฐบาลสหรัฐขอขมารัฐบาลไทย
เวลา 04.30 น. ของเช้ามืดวันที่ 14 พฤษภาคม 2518 สหรัฐส่งกำลังนาวิกโยธินจำนวน 1,100 คน จากฐานทัพที่โอกินาวามาขึ้นที่อู่ตะเภา โดยไม่ได้แจ้งให้กับรัฐบาลไทยทราบ เป็นการดำเนินตามมาตรการแข็งกร้าวต่อกัมพูชา ให้ปล่อยเรือสินค้าสหรัฐ ชื่อมายาเกวซ ที่เรือรบเขมรแดงจับไป พร้อมกับลูกเรือ 39 คน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม จากนั้นได้ลากไปจอดลอยลำทิ้งสมอไว้ที่เกาะตาง ใกล้กับเมืองกำปงโสม


ก่อนหน้านั้นท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐ เป็นที่รับรู้กว้างขวาง และสร้างความวิตกให้กับรัฐบาลไทย บ่ายวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม ม.ร.วคึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้เชิญ นายเอ็ดเวิร์ด มาสเตอร์ อุปทูตสหรัฐ โดยแจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลไทย ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับกรณีพิพาท ระหว่างสหรัฐกับกัมพูชาและไม่ต้องการให้สหรัฐใช้ฐานทัพในไทยปฏิบัติการคุกคามหรือรุกราน ประเทศกัมพูชา
เมื่อเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้น ช่วงบ่ายวันที่ 14 พฤษภาคม รัฐบาลจึงเรียกอุปทูตสหรัฐมาพบที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งอุปทูตสหรัฐยอมรับว่าเป็นความจริง รัฐบาลไทยจึงยื่นประท้วงต่อรัฐบาลสหรัฐ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การกระทำของสหรัฐครั้งนี้เป็นการล่วงล้ำอธิปไตยของไทยเพราะได้พูดขอร้องกันไว้ก่อนอย่างฉันมิตรว่าอย่าให้ประเทศไทยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระหว่างสหรัฐกับกัมพูชา และถ้าหากมีการนำทหารสหรัฐเข้ามายังฐานทัพในประเทศไทย ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลเสียก่อน “เป็นการละเมิดอธิปไตยของเราอย่างแน่นอน เมื่ออุปทูตสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้แทนของสหรัฐรับปากกับผม ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล ย่อมถือได้ว่าเป็นข้อผูกพันระหว่างรัฐบาลทั้งสอง เมื่อสหรัฐไม่ทำตาม ก็เป็นการละเมิดอธิปไตยของเรา”
ในภายหลังมีรายงานว่า สหรัฐได้แจ้งปฏิบัติการนี้กับผู้นำทางทหารของไทย ดังที่เคยปฏิบัติมาในยุครัฐบาลทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลพลเรือนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไม่ยอมรับวิธีการนี้อีกต่อไป


ช่วงเวลาตึงเครียด
รายงานข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง กระทรวงต่างประเทศเปิดเผยว่าความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐตึงเครียดถึงที่สุดเมื่อเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม
เมื่อเวลา 10.00 น. กระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ไปยังสถานทูตสหรัฐ ถนนวิทยุ ถามว่าสหรัฐจะถอนนาวิกโยธิน 1,100 คน ซึ่งนำเข้ามาที่อู่ตะเภา ออกจากประเทศไทยภายใน 24 ชั่วโมงตามที่รัฐบาลไทยได้ประท้วงไปได้หรือไม่ สถานทูตตอบมาว่า “ไม่ได้” ซึ่งเป็นการกล่าวที่โอหังและสบประมาทมาก
กระทรวงต่างประเทศจึงได้เสนอมาตรการ 3 ข้อ เพื่อปฏิบัติตอบต่อสหรัฐ ให้นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้รักษาการรัฐมนตรีต่างประเทศ (พลตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ รมว.ต่างประเทศ อยู่ระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศ) ได้ดำเนินการต่อไป
ประการแรกให้เรียกเอกอัครราชทูตไทยในสหรัฐกลับ
ประการต่อมากระทรวงการต่างประเทศจะได้ทำหนังสือถึงสถานทูตต่างๆ ในกรุงเทพฯ โดยชี้แจงให้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในประเทศไทยได้ประท้วงสหรัฐไปแล้ว แต่สหรัฐไม่ยอมกระทำตาม “จึงขอประณามการกระทำของสหรัฐว่าเป็นการกระทำของผู้มีกำลังอำนาจที่ขาดสติ”
และประการที่สาม เจ้าหน้าที่ว่าเป็นการประกาศไล่ให้สหรัฐถอนกำลังทหารทั้งหมดในประเทศไทยออกไปทันที
เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงต่างประเทศ เปิดเผยมาตรการทั้งสามประการจะดำเนินการต่อสหรัฐในทันที และถ้าสหรัฐยังแสดงท่าทีที่คุกคามต่อเอกราชและอธิปไตยของไทยต่อไป ก็จะพิจารณาถึงขั้นตัดสัมพันธ์ ทางการทูตต่อกัน
ส่วนความเคลื่อนไหวของมวลชน ได้มีการชุมนุมประท้วงการกระทำของสหรัฐ โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณสามหมื่นคน
จากนั้นในวันที่ 16 พฤษภาคม 2518 รัฐบาลไทยได้มีแถลงการณ์ ดังต่อไปนี้ (ในช่วงนั้น ไทยเรียกประเทศกัมพูชาว่า เขมร)
“ตามที่รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2518 เกี่ยวกับการประท้วง ต่อรัฐบาลสหรัฐให้ถอนกำลังนาวิกโยธินที่ได้ส่งเข้ามายังฐานทัพอู่ตะเภาเพื่อเตรียมตอบโต้เขมร ในกรณีพิพาทที่กำลังดำเนินอยู่โดยทันทีนั้น
ต่อมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2518 ปรากฏว่าผ่ายสหรัฐมิได้ปฏิบัติตามคำประท้วงและเรียกร้องของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการถอนทหารนาวิกโยธินออกจากประเทศไทย แต่กลับใช้กำลังทหารดังกล่าวจู่โจมยืดเรือ “‘มายาเกวซคืน” จากฝ่ายเขมร และยังได้ใช้เครื่องบินรบสหรัฐที่ประจำอยู่ ณ ฐานทัพไทยออกปฏิบัติการสนับสนุนทางอากาศด้วย
การกระทำของผ่ายสหรัฐตามที่กล่าวมานี้ เป็นการจงใจฝืนมติของรัฐบาลไทยดังที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้อุปทูตสหรัฐทราบเมื่อวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2518 ว่าไทยไม่ประสงค์ที่จะยุ่งเกี่ยวด้วย ในกรณีพิพาทระหว่างสหรัฐกับเขมร และหากรัฐบาลสหรัฐตกลงใจที่จะใช้กำลังทหารตอบโต้เขมร รัฐบาลไทยก็ไม่อาจที่จะให้ใช้ดินแดนไทยเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้
นอกจากนั้นรัฐบาลสหรัฐยังได้แสดงท่าทีว่ามิได้คำนึงถึงความประสงค์ของรัฐบาล และประชาชนชาวไทย หรือก่อความเสียหาย ที่อาจเกิดขึ้นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและกับสหรัฐเองแต่ประการใดเลย เนื่องจากการกระทำของสหรัฐอันไม่มีลักษณะฉันมิตรเช่นนี้ รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์อันเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยและลบหลู่เกียรติภูมิของชาติเกิดขึ้นได้อีก เพื่อการนี้รัฐบาลจึงได้สั่งให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1.ให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำบันทึกประท้วงต่อสหรัฐอีกครั้งหนึ่งโดยระบุถึงพฤติการณ์ของสหรัฐ ที่ผ่าฝืนมติของรัฐบาลไทย และแจ้งความจำเป็นที่รัฐบาลไทยจะต้องพิจารณาทบทวนข้อผูกพันทุกลักษณะทุกประการที่ไทยมีอยู่กับสหรัฐ รวมทั้งการควบคุมการใช้ฐานทัพ และสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารในประเทศไทยอย่างเคร่งครัดให้เหมาะสมแก่สถานการณ์บัจจุบัน และความต้องการของรัฐบาลไทย
2.ให้กระทรวงการต่างประเทศยื่นบันทึกประท้วงฉบับนี้ ต่อสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ ณ กรุงเทพฯ และในขณะเดียวกัน สั่งการให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ยื่นบันทึกดังกล่าวนี้ต่อกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ อีกทางหนึ่งด้วย
ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อปรึกษาข้อราชการ
วันสาร์ที่ 17 พฤษภาคม นายอานันท์ ปันยารชุน เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ได้ยื่นหนังสือประท้วงต่อรัฐบาลสหรัฐ พร้อมได้พบกับนายเฮนรี คิสซินเจอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งได้แสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่นายอานันท์จะเดินทางกลับประเทศไทยพร้อมกับภริยา โดยเดินทางถึงสนามบินดอนเมืองในคืนวันที่ 21 พฤษภาคม

สหรัฐยอมขอขมา
วันที่ 19 พฤษภาคม เวลา 09.45 น. นายเอ็ดเวิร์ด มาสเตอร์ส อุปทุตสหรัฐประจำประเทศไทย ได้เข้าพบพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับเป็นผู้ลงนาม นำจดหมายจากรัฐบาลสหรัฐที่ส่งมาทางวิทยุโทรศัพท์ มอบให้ที่กระทรวงการต่างประเทศ
พลตรีชาติชาย เปิดเผยใจความสำคัญในจดหมายว่า “รัฐบาลสหรัฐเข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างขึ้นในประเทศไทยว่า เป็นการรุกล้ำอธิปไตย และรัฐบาลสหรัฐขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่ามีความเสียใจที่เหตุการณ์นั้นๆ ได้เกิดขึ้นแต่อย่างไรก็ตาม สหรัฐยังคงมีนโยบายที่จะเคารพในอธิปไตยของประเทศไทยอย่างไม่เปลี่ยนแปลง กับขอยืนยันว่าจะไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก รัฐบาลสหรัฐมุ่งหวังจะร่วมมือด้วยทุกประการกับประเทศไทยด้วยความกลมเกลียว และมีมิตรภาพต่อไป”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า แม้จดหมายของรัฐบาลสหรัฐจะไม่มีคำว่า “ขอขมา” อย่างชัดแจ้ง แต่การที่สหรัฐกล่าวว่าจะไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ก็น่าจะเป็นการขอขมาที่เพียงพอได้แล้ว
“เมื่อยอมรับว่าทำผิดไปแล้วและจะไม่ยอมกระทำอีก เป็นเรื่องที่เราน่าจะพอใจ” พลตรีชาติชายกล่าว และเสริมว่า “เมื่อเขาขอขมาต่อรัฐบาล และรัฐบาลของเราได้มาจากประชาชน ประชาชนก็น่าจะพอใจ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐไม่ได้ขอขมาต่อประชาชนคนไทยก็ตาม”
ทั้งนี้รัฐบาลยังต้องเรียกนายอานันท์ ปันยารชุน เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน กลับมาแน่นอน ทั้งนี้เพื่อปรึกษาถึงแนวนโยบายและทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาระหว่างไทย-สหรัฐ ฉบับปี 2493 ซึ่งไทยยังเสียเปรียบ ทั้งด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจ
ทางด้านประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด แห่งสหรัฐ ได้แถลงขอโทษรัฐบาลไทยในสภาคองเกรสอีกด้วย


ในส่วนปฏิบัติการทางการทหารของสหรัฐ ในวันที่ 14 พฤษภาคม ประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. สามารถช่วยเหลือตัวประกันได้ทั้ง 39 คน รวมถึงลูกเรือประมงของไทยจำนวน 5 คน และนำเรือมายาเกวซ กลับคืนมาได้ โดยมีความสูญเสียด้วยกันของทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายสหรัฐเสียชีวิต 15 นาย บาดเจ็บ 41 นาย สูญหาย 3 นาย (เสียชีวิต) เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำถูกยิงตก ส่วนฝ่ายเขมรแดง เสียชีวิต 13-25 นาย บาดเจ็บ 15 นาย เรือปืนจมลง 3 ลำ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างชัยชนะ