ผู้เขียน | ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ |
---|
สะพานแห่งกาลเวลา : ข่าวดีว่าด้วยขยะพลาสติก
มลพิษจากพลาสติกยังคงเป็นภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดและยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขยะพลาสติกก่อให้เกิดปัญหาสารพัด ตั้งแต่สร้างอันตรายให้กับสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตในสภาพธรรมชาติอื่นๆ หลงเข้าใจว่าเป็นอาหารกลืนกินเข้าไป ไปจนถึงเกิดการเปลี่ยนสภาพเป็นเศษพลาสติกขนาดจิ๋ว อย่างที่เรียกกันว่า “ไมโครพลาสติก” ที่ปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมและร่างกายของมนุษย์
เป็นที่ทราบกันดีเช่นกันว่าพลาสติกที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมร้ายแรงที่สุดก็คือพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง อย่างเช่นถุงพลาสติกใส่ของจากร้านค้า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ เป็นต้น เหตุผลก็คือพลาสติกจำพวกนี้มีราคาถูกมาก ใช้กันแพร่หลาย เมื่อทิ้งไปก็กลายเป็นขยะมหาศาลอยู่ในทุกที่ทุกทาง ในน้ำ ในทะเล ป่าเขา แถมยังพบมากขึ้นทุกที่อีกต่างหาก
ที่ผ่านมาเราพยายามหาแนวทางกำหนดนโยบายหลายประการทั้งเพื่อ “จำกัด” และ “กำจัด” ขยะจากพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งเหล่านี้ และที่เป็นข่าวดีสำหรับวันนี้ก็คือ อย่างน้อยมีนโยบายหรือมาตรการประการหนึ่งซึ่งปรากฏว่ามีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะพลาสติกเหล่านี้ในสิ่งแวดล้อมลง ทั้งนี้ จากผลงานการศึกษาวิจัยล่าสุด ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ journal Science เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง
งานวิจัยดังกล่าวเป็นผลการศึกษาวิจัยที่ทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทีมวิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถาบันที่กำหนดนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายร้อยแห่งในสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างปี 2017 จนถึงปี 2023 รวมกับข้อมูลการจัดเก็บขยะเพื่อทำความสะอาดชายหาดมากกว่า 45,000 ครั้ง ในช่วงระหว่างปี 2016 จนถึงปี 2023 พบว่าในพื้นที่ที่มีการห้ามการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือ พื้นที่ที่มีการกำหนดนโยบายจำกัดการใช้พลาสติกจำพวกนี้ด้วยการ “ขาย” หรือเรียกเก็บเงินเมื่อผู้บริโภคร้องขอถุงพลาสติกนั้น
ปรากฏว่าจำนวนขยะพลาสติกจากถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งที่หลงเหลือเป็นมลภาวะในสิ่งแวดล้อมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับขยะพลาสติกที่จัดเก็บจากพื้นที่ที่ไม่มีนโยบายห้าม หรือจำกัดการใช้ด้วยการขายถุงพลาสติกดังกล่าว ค่าเฉลี่ยของการลดลงของขยะพลาสติกดังกล่าวซึ่งแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่นั้น มีสูงถึงระหว่าง 25 เปอร์เซ็นต์เรื่อยไปจนถึง 47 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
แอนนา แปปป์ นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัยและเป็นผู้เขียนร่วมของงานวิจัยชิ้นดังกล่าวระบุว่า ข้อมูลหลักที่งานวิจัยชิ้นนี้ค้นพบก็คือ นโยบายการห้ามใช้หรือจำกัดการใช้พลาสติกเช่นนี้ มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะพลาสติกในสภาพแวดล้อมลง แม้จะไม่สามารถกำจัดให้หมดไปก็ตามที
คิมเบอร์ลี ออเรมัส นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเดลลาแวร์ หนึ่งในทีมวิจัยครั้งนี้ยอมรับว่า “เซอร์ไพรส์” ไม่น้อยที่ผลการวิจัยแสดงว่านโยบายดังกล่าวนี้ใช้ได้ผล เนื่องจากการทำความเข้าใจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในท้ายที่สุดของนโยบายทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะแต่ละพื้นที่อาจกำหนดนโยบายและควบคุมการใช้นโยบายเข้มงวดแตกต่างกันออกไป ในขณะที่การจัดเก็บขยะที่ถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของนโยบายก็มีความแตกต่างหลากหลาย ไม่ได้เป็นรูปแบบตายตัวเหมือนกันในการจัดเก็บแต่ละสถานที่ แต่ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยก็แสดงให้เห็นถึง “แนวโน้ม” ที่ชัดเจน ซึ่งทำให้ทีมวิจัยสามารถสรุปได้ว่า นโยบายห้ามใช้หรือขายถุงพลาสติกนั้น มีประสิทธิภาพสูงจนน่าพึงพอใจเลยทีเดียว
ทีมวิจัยระบุว่า ผลจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นด้วยว่านโยบายห้ามใช้หรือขายถุงพลาสติกทั้งหมด มีประสิทธิภาพสูงกว่าการห้ามใช้เพียงบางส่วน เช่น ยังคงอนุญาตให้ใช้ถุงพลาสติกบางอย่างอยู่ นอกจากนั้น การห้ามใช้ที่ประกาศอย่างทั่วถึงทั้งรัฐในสหรัฐอเมริกา จะมีประสิทธิภาพกว่าการประกาศห้ามใช้จำเพาะเป็นรายท้องถิ่น นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่าในพื้นที่ซึ่งมีการห้ามใช้ถุงพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ปริมาณการพบสัตว์ที่เป็นอันตรายจากการกลืนกินพลาสติกลงไปลดน้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน แม้ว่าข้อมูลในเชิงสถิติจะมีไม่มากพอที่จะชี้ชัดลงไปก็ตามที
แม้การศึกษาวิจัยจะจำกัดอยู่แค่เพียงในสหรัฐอเมริกา แต่ผลวิจัยที่ได้ก็น่าจะเป็นกำลังใจและผลักดันให้การรณรงค์ห้ามใช้ถุงพลาสติกครั้งเดียวทิ้งในอีกหลายประเทศรวมทั้งไทยดำเนินต่อไปครับ
ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์