สุพันธุ์ มงคลสุธี : ‘ธุรกิจทุนจีนศูนย์เหรียญ’ ภัยร้ายตัดตอนเอสเอ็มอีไทย

‘ธุรกิจทุนจีนศูนย์เหรียญ’ ภัยร้ายตัดตอนเอสเอ็มอีไทย

จีนศูนย์เหรียญ – ทุกวงการในประเทศไทยจริงๆ สำหรับ “ธุรกิจทุนศูนย์เหรียญ” หากไม่รีบแก้ไขให้รวดเร็วและตรงจุด ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจของไทยอย่างรุนแรงมากขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะกับกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีที่ยังอ่อนแอ ไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากบาดแผลเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อหลายปีก่อน

อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นเพราะ “นักลงทุนจีนบางกลุ่ม” ผมย้ำว่าแค่บางกลุ่มเท่านั้นนะครับ เพราะไม่อยากให้เกิดการกระทบความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนและไม่อยากเห็นการเหมารวมทั้งหมดอย่างไร้เหตุผล ทั้งๆ ที่ประเด็นนี้เกิดจากนักลงทุนจีนหัวใสบางกลุ่ม ใช้วิธีการเอาเปรียบนักธุรกิจเจ้าบ้านอย่างคนไทย ด้วยการอาศัยช่องโหว่จาก “มาตรการส่งเสริมการลงทุน” และการปรับปรุง “กฎหมายไทยที่ล้าหลัง-อ่อนแอ” ล่าช้าหลายอย่าง ที่เป็นเหมือนดาบสองคมกลับมาทำร้ายคนและธุรกิจในประเทศเสียเอง

ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า มาตรการกีดกันการค้าของยุโรป และการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อสกัดสินค้าจีนและชะลอการเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีน กลับทำให้สินค้าจีนไหลบ่ามายังภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียนและไทยมากขึ้น

ทุนศูนย์เหรียญ ของนักลงทุนจีนบางกลุ่มที่ไหลทะลักเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดอยู่ในประเภท “ทุนจีนสีเทา” ที่ทำธุรกิจที่สร้างผลประโยชน์ให้กับตนเองโดยไม่สนใจผลกระทบต่อประเทศไทย เช่น การนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำ การหลีกเลี่ยงภาษี หรือการทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น การสวมสิทธิสินค้าไทย การพนันออนไลน์หรือคอลเซ็นเตอร์

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้ประเทศไทยเสียผลประโยชน์และส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ไม่ได้สร้างผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศไทยเลยแม้แต่เหรียญเดียว โดยในระยะยาวหากปล่อยทิ้งไว้เชื่อว่าไม่พ้นที่ทุนจีนสีเทาจะเข้ามาทำลายโครงสร้างธุรกิจไทยและทำลายความสามารถในการแข่งขันธุรกิจของคนไทยอย่างแน่นอน

ADVERTISMENT

“ผมเองก็ยังมีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะทุนจีนสีเทาจะทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินมากกว่าเดิม”

ทุกวันนี้ยังมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เกี่ยวกับข่าวการเข้ามาตั้งโรงงาน หรือลงทุนกิจการของกลุ่มนักลงทุนในไทย ที่แม้ว่าจะมาแบบถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่การลงทุนกลับมีช่องทางและการหลบเลี่ยงมากมายในการไม่สนับสนุนสินค้า Made in Thailand แต่กลับนำเข้าสินค้า Made in China มาทั้งแผง กลุ่มนี้ผมขอเรียกว่า “กลุ่มจีนสีขาวขุ่น”

บางกิจการออกข่าวประกาศถึงแผนการลงทุนใหญ่โตมโหฬารเป็นหมื่นๆ ล้านบาทในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ที่ จ.ระยอง คนไทยทั้งประเทศก็ เฮ!! เผลอดีใจไปกับเขาด้วยแต่ที่ไหนได้ ทั้งโรงงานใช้แต่สินค้าจีนตั้งแต่พื้นยันหลังคาโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักร ผนังพื้น ชักโครก ลูกบิดประตูก็ใช้จีนแบบ 100% ผ่านมาตรฐานจีน แต่ไม่ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย หรือ มอก. ปิดโอกาส Supply Chain ของคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอส
เอ็มอีที่จะได้ผลพวงจากการลงทุน การบริหารก็เป็นชาวจีนโดยตรงทั้งหมด เราเป็นแค่ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งปัจจุบันก็น้อยลงไปมาก เพราะเดี๋ยวนี้เอาระบบ Automation มาแทนคนทุกวงการ

คำถามที่อยากรู้คือ ทำไมเราถึงไม่กำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนใหม่ในไทย ใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตั้งแต่การสร้างโรงงาน ยิ่งกว่านั้นนักลงทุนใหม่จะได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคลเหลือแค่ 0% แถมโปรโดนใจชุดใหญ่ไฟกะพริบเข้าไปอีก คือ ยกเว้นภาษีนำเข้าศุลกากรการสร้างโรงงานให้ด้วย

เอาจริงๆ คนไทยหลายล้านคนก็ไม่รู้หรอก ว่าประเทศไทยได้ทำสัญญาลดแลกแจกแถมแบบนี้ไปกี่สัญญา หรือกี่โรงงาน แต่เชื่อว่าจะมีแบบนี้มากมายหลายแห่ง ผมขอย้ำว่ามันคือการลงทุนแบบศูนย์เหรียญ แค่ยกโรงงานมาตั้งที่แผ่นดินไทยเท่านั้น

ขณะที่คนไทยแทบไม่ได้อะไรจากการก่อสร้างโรงงานหมื่นล้านแม้แต่น้อย ยกเว้นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นคนไทยแค่กลุ่มหนึ่งที่ได้กำไรแบบจริงๆ จังๆ จากโครงการนี้เข้าให้ จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่กำกับโดยพระราชบัญญัติการนิคมแห่งประเทศไทย (พ.ร.บ.กนอ.) ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ในการจัดสรรที่ดินและส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม

“คิดเลขให้เห็นง่ายๆ ถ้าขายที่ดินขั้นต่ำ 500-600 ไร่ ในราคาไร่ละ 4 ล้านบาท ผ่านไปไม่กี่ปีมูลค่าที่ดินมีการทำกำไรกว่าปีละ 8-10 ล้านบาท มี 500-600 ไร่ก็ทำกำไรแบบก้าวกระโดดอีกทางหนึ่งด้วยก็ราวๆ 2,400-3,600 ล้านบาท เพราะที่ดินนิคมขาดแคลน ราคาก็พุ่งเอาๆ”

ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ประเทศไทยขาดความน่าสนใจมากขนาดนี้เลยหรือ ขนาดที่ว่าไม่สามารถดึงดูดการลงทุนได้เลย ถึงต้องพึ่งพาสัญญาแบบนี้จนเกิดภาวะการลงทุนศูนย์เหรียญ จาก “กลุ่มจีนสีขาวขุ่น”

เราควรกลับมาดูตัวเองว่าเราควรจะปรับปรุงตัวเองให้น่าสนใจอย่างไร เพราะเวลานี้ไทยไม่ได้การร่วมสร้าง Supply Chain ไม่ได้ใช้การพัฒนาทักษะแรงงาน ไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี สิ่งที่เราได้คือ การจ้างงานเพราะค่าแรงเรายังต่ำเมื่อเทียบกับค่าแรงในจีน

แต่ผู้ลงทุนได้โอกาสสวมสิทธิทางภาษีเพื่อส่งออกสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าของเรา

ประเทศไทยเรามี 4 กระทรวงสำคัญ ที่ส่งผลต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานของคนไทย อย่างกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แต่ทั้งหมดนี้กลับไม่มีผลงานการพัฒนาศักยภาพคนไทยและผู้ประกอบการไทยในรัฐบาลชุดนี้เลยแม้แต่น้อย

ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมแม้ผลงานจะชัดเจนเรื่องไล่บี้โรงงานสีเทา แต่ที่ยังไม่ชัดเจนคือการผลักดันผู้ประกอบการในยุคเปลี่ยนถ่ายที่ต้องเผชิญความท้าทายรุนแรง

ไม่เพียงแค่ปัญหาที่กล่าวมาในข้างต้นเท่านั้น แต่ปัญหาหลักของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยในขณะนี้ก็คือ ขาดช่องทางการเข้าถึงแหล่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กระทบศักยภาพเอสเอ็มอีไทย บวกกับต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างทุนจีนสีเทาที่มีสายป่านยาว แต่ทุนไทยมีสายป่านที่สั้น

การเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ยังเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเอสเอ็มอี เพราะข้อกำหนดที่เข้มงวด เช่น หลักค้ำประกันการกู้เงิน แต่ทว่า ก็ยังมีแหล่งทุนอื่นๆ ที่เอสเอ็มอีควรพิจารณา เช่น กองทุนที่รัฐบาลสนับสนุนหรือกองทุนสำหรับเอสเอ็มอี แต่รัฐบาลจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ “ปลดล็อก” เงื่อนไข ที่เอสเอ็มอีเข้าถึงยากให้หมดไป

รัฐบาลต้องช่วยเพิ่มการพัฒนาทักษะของเอสเอ็มอี หรือพนักงาน เช่น การตลาดออนไลน์ การบริหารจัดการ หรือการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) กลาง เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงได้และต้นทุนต่ำ กำหนด KPI ที่ชัดเจนของภาครัฐที่จะช่วยเหลือเอสเอ็มอีกี่รายเป็นต้นไป หรือการเอาทรัพยากรในองค์กรมาวางแผนการใช้งานอย่างเหมาะสม

การใช้ Social Media ในการตลาด ก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างเครือข่าย การเข้าร่วมกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น งานแสดงสินค้าหรืองานสัมมนา เป็นสิ่งสำคัญในการขยายตลาด ตลอดจนการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจ การตลาด หรือการบัญชี หากมีหน่วยงานเข้ามาช่วยจัดการ มั่นใจว่าสามารถช่วยให้เอสเอ็มอีพัฒนาธุรกิจได้ดียิ่งขึ้นแน่นอน

“รัฐบาลต้องมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนบริษัทที่เป็นของคนไทย ต้องช่วยเอสเอ็มอีอย่างจริงจังให้เขาเข้ามาได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอได้ง่ายขึ้น รวมทั้งจับมือกับองค์กรพันธมิตร หรือจัดตั้ง One stop service center ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางช่วยเหลือเอสเอ็มอีในภาวะที่ต้องเผชิญความท้าทายจากทุกสารทิศ” มี KPI อย่างชัดเจนว่าจะทำเอสเอ็มอีไทยได้รับการส่งเสริมกี่รายประเภทธุรกิจ การส่งเสริมต้องสามารถเข้าถึงได้ง่าย และระยะเวลายาวกว่าการลงทุนจากต่างประเทศ

ทางที่ดีรัฐบาลควรมีนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาธุรกิจของคนไทยควบคู่ไปกับการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติอีกทางด้วย ปรับปรุงเงื่อนไขการลงทุนให้สอดคล้องกับการผู้ประกอบการไทยมากขึ้น เพิ่มมาตรการป้องกันการสวมสิทธิการส่งออก และการ Re-export โดยใช้ Local content ในระดับที่ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยและธุรกิจไทยแต่อย่างใด

ไม่เช่นนั้นธุรกิจไทยมีแต่ “เจ๊งกับเจ๊ง” แน่นอน!!

เหนือสิ่งอื่นใด อย่าให้ประเทศไทยกลายเป็นสวรรค์แห่งการลงทุน “ธุรกิจทุนศูนย์เหรียญ” หรือกลุ่มจีนสีขาวขุ่น ของลงทุนต่างชาติ เพราะนั่นไม่ส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาวในทุกๆ มิติ โดยเฉพาะความเข้มแข็งของภาคธุรกิจไทยที่อาจจะถูกบั่นทอนจากธุรกิจทุนศูนย์เหรียญ

สุพันธุ์ มงคลสุธี
ประธานกิตติมศักดิ์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)