ผู้เขียน | รศ.ดร.อิศรา ก้านจักร |
---|
เมื่อ AI เปลี่ยนห้องเรียนทั้งโลก…คุณภาพการศึกษาไทยควรเริ่มตรงไหน?
“คุณภาพการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาประเทศ แต่ในวันที่โลกเปลี่ยนห้องเรียนไปไกล เรายังแน่ใจหรือว่า…ห้องเรียนของเราเดินมาทัน?”
โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว…แต่ระบบการศึกษายังเดินช้า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี AI ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนแทบทุกกลุ่ม ตั้งแต่ภาคธุรกิจ การแพทย์ ไปจนถึงการศึกษา เด็กบางคนใช้ AI อย่าง ChatGPT ช่วยสรุปบทเรียน เขียนเรียงความ หรือแม้แต่ฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ขณะที่ครูบางคนยังไม่เคยลองใช้ หรือแม้แต่ไม่แน่ใจว่า “AI” ที่พูดถึงคืออะไร ใช้ยังไง และเชื่อถือได้แค่ไหน โรงเรียนในบางประเทศเริ่มออกแบบบทเรียนโดยมี AI เป็นผู้ช่วยร่วมกับครู เช่น ใช้เพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของผู้เรียน หรือช่วยสร้างแบบฝึกหัดเฉพาะบุคคล ขณะเดียวกัน โรงเรียนในประเทศของเราบางแห่งยังไม่มีอินเตอร์เน็ตที่เสถียร หรือยังขาดครูในบางสาขาวิชา เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือภาษาอังกฤษ
AI : เครื่องมือใหม่ หรือจุดเปลี่ยนวิธีคิดทางการศึกษา?
ในช่วงแรกที่ AI เข้ามาในแวดวงการศึกษา หลายคนมองว่าเป็นเพียง “เครื่องมือช่วยงานครู” เช่น ช่วยตรวจการบ้าน แปลภาษา หรือสรุปเนื้อหา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับเริ่มเห็นว่า AI ไม่ได้เข้ามาแค่ “ช่วยให้เร็วขึ้น” แต่กำลังเปลี่ยน “นิยามของการเรียนรู้” ทั้งระบบ ในอดีตเราอาจเชื่อว่าการเรียนรู้คือการถ่ายทอดเนื้อหาจากครูสู่ผู้เรียน แต่เมื่อ AI สามารถตอบคำถาม วิเคราะห์ความเข้าใจ สร้างแบบฝึกเฉพาะบุคคล และติดตามพัฒนาการของผู้เรียนแบบเรียลไทม์ได้ บทบาทของครูจึงไม่ใช่ “ผู้ถ่ายทอด” อีกต่อไป แต่ต้องเป็น “ผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้” ที่ตอบสนองความแตกต่างและศักยภาพเฉพาะตัวของผู้เรียนแต่ละคน
AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก วิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว และปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคนได้มากกว่าที่ครูคนเดียวจะทำได้ ระบบการศึกษาที่ใช้หลักสูตรเดียวกันกับเด็กทุกคนย่อมถึงทางตัน เรากำลังยืนอยู่ตรงทางแยกสำคัญ ว่าเราจะมอง AI เป็น “เครื่องมือ” ที่เอาไว้ใช้เฉพาะบางจังหวะในห้องเรียน หรือจะยอมรับว่า AI กำลังเป็น “โครงสร้างใหม่” ของการเรียนรู้ ที่เปลี่ยนทั้งบทบาทของครู วิธีออกแบบหลักสูตร วิธีวัดผล และความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือ “การเปลี่ยนกรอบคิดทางการศึกษา” ถ้าเรายังสอนแบบเดิม วัดผลแบบเดิม สร้างห้องเรียนแบบเดิม โดยเพียงแค่มีคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือให้เด็กใช้ Gemini ทำการบ้าน เราจะพลาดโอกาสครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนการศึกษาทั้งระบบให้มีความหมาย ทันสมัย และเท่าเทียมกว่าที่เคยเป็น
บทเรียนจากต่างประเทศ : ครูคือหัวใจ แม้ในยุค AI
เมื่อมองไปรอบโลก เราเห็นกรณีตัวอย่างหลายประเทศที่เริ่มต้นเปลี่ยนห้องเรียนของตนอย่างกล้าหาญ โดยมี AI เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างการเรียนรู้ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง Cottesmore School ในสหราชอาณาจักร โรงเรียนประถมแบบประจำแห่งนี้ได้สร้างความฮือฮาด้วยการแต่งตั้ง “AI Headteacher” หรือผู้ช่วยครูใหญ่ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งทำหน้าที่เสนอแนวทางเชิงนโยบายด้านการเรียนรู้ การดูแลนักเรียน และการวิเคราะห์แผนการสอนให้กับทีมบริหาร AI Headteacher คนนี้ไม่ได้ทำงานแทนครูหรือผู้บริหาร แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยคิด” เพื่อให้กระบวนการตัดสินใจในโรงเรียนมีข้อมูลสนับสนุนที่หลากหลายขึ้น ในขณะที่ David Game College ในลอนดอน โรงเรียนแห่งนี้ได้ทดลองใช้ “AI เป็นผู้สอนหลัก” แทนครูประจำชั้นในบางระดับ โดยมีโค้ชมนุษย์ (learning coaches) คอยกำกับดูแลนักเรียนในด้านอารมณ์และการมีปฏิสัมพันธ์ โรงเรียนนี้ออกแบบห้องเรียนให้ใช้ AI วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการ พร้อมจัดกิจกรรมช่วงบ่ายให้เน้นทักษะชีวิตและความเข้าใจสังคม เป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้
ในประเทศจีน รัฐบาลประกาศตั้งโรงเรียนนำร่องกว่า 180 แห่งที่สอน AI ตั้งแต่ระดับประถม พร้อมสนับสนุนแพลตฟอร์มอย่าง Squirrel AI Learning ที่สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้แบบละเอียดระดับจุดความรู้ ขณะที่เกาหลีใต้ พัฒนา AI Digital Textbooks และระบบแอพพ์ QANDA ที่สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์พร้อมอธิบายได้แบบเรียลไทม์
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าโลกไม่ได้แค่ใช้ AI เพื่อ “สอนให้เร็วขึ้น” แต่กำลังใช้ AI เพื่อ “เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการเรียนรู้” ไปโดยสิ้นเชิง
แล้วคุณภาพการศึกษาที่แท้จริง…เราจะนิยามอย่างไรในยุค AI?
เมื่อห้องเรียนในหลายประเทศเริ่มเปิดกว้างให้กับการเรียนรู้แบบปรับเฉพาะบุคคล มี AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เรียนแบบเรียลไทม์ สร้างบทเรียนที่ตอบโจทย์จุดแข็ง-จุดอ่อนของแต่ละคน ขณะเดียวกันผู้เรียนยังได้รับคำแนะนำเชิงอารมณ์จากโค้ชที่เข้าใจบริบทมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
คำถามสำคัญคือ…แล้วการศึกษาของไทยกำลังตอบสนองความสามารถเฉพาะบุคคลและบริบทชีวิตของเด็กไทยมากน้อยเพียงใด?
เรายังใช้ระบบการศึกษาที่สอนแบบเดียว วัดผลแบบเดียว และตัดสินความสามารถด้วยกรอบเดียว ทั้งที่ AI เปิดโอกาสให้เราออกแบบการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้มากกว่าที่เคย เพราะฉะนั้น “คุณภาพ” ในยุค AI จึงไม่ใช่ผลสอบ หรือค่าเฉลี่ยกลาง แต่คือความสามารถของระบบในการทำให้ผู้เรียนแต่ละคนได้เรียนรู้ในแบบที่เหมาะกับตนเอง และเติบโตเต็มศักยภาพ ไม่ว่าจะมีต้นทุนแบบใด อยู่ที่ไหน หรือเรียนรู้แบบไหน คุณภาพในวันนี้ คือห้องเรียนที่รองรับความหลากหลาย โดยมีครู เทคโนโลยี และการออกแบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ทำให้ “ทุกคน” มีโอกาสได้พัฒนา ไม่ใช่แค่ “บางคน” ที่สอบได้คะแนนดี และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเราไม่เริ่มจาก “การเปลี่ยนวิธีคิด” ว่าเป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเนื้อหา แต่คือการสร้างระบบที่ช่วยให้เด็ก “เข้าใจตนเอง คิดเป็น และเติบโตในแบบของตัวเอง”
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่การติดตั้งอุปกรณ์ หรือฝึกอบรมครูใช้แพลตฟอร์มใหม่ๆ เท่านั้น แต่ต้องมีการ “ออกแบบการเรียนรู้ใหม่ทั้งระบบ” ตั้งแต่ระดับนโยบาย หลักสูตร วิธีประเมิน ไปจนถึงวัฒนธรรมในห้องเรียน ที่ยอมรับความหลากหลาย ไม่กลัวความล้มเหลว และใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายโอกาส ไม่ใช่ควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียน
AI อาจเป็นเพียงเครื่องมือ แต่มือทั้งสองข้างของครูที่มีจิตวิญญาณนักออกแบบและระบบการสนับสนุน สามารถช่วยให้ครูแต่ละคนออกแบบการเรียนรู้ที่แม่นยำ มีความหมาย และตอบโจทย์ศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างแท้จริงและนั่นคือ “คุณภาพ” ที่เราอยากเห็น…ในห้องเรียนไทยทุกแห่ง
-แนวคิดสมรรถนะ AI สำหรับครูไทย : ข้อเสนอจากพื้นที่วิชาชีพเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย
ในวันที่ AI เปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ไปทั่วโลก “ครู” ยังเป็นผู้กำหนดว่าห้องเรียนจะใช้เทคโนโลยีอย่างมีความหมาย หรือแค่เดินตามกระแส หลายประเทศกำลังสร้างระบบสนับสนุนครูให้เข้าใจและใช้ AI อย่างสร้างสรรค์ แต่สำหรับไทย ช่องว่างสำคัญไม่ใช่แค่ขาดเครื่องมือหรือแพลตฟอร์ม หากคือการที่ครูส่วนใหญ่ยังไม่เคยได้รับการฝึกฝนด้าน AI อย่างเป็นระบบ และยังไม่มี “กรอบคิดใหม่” ที่จะพาเทคโนโลยีเข้าไปอยู่ในชั้นเรียนอย่างมีเป้าหมาย จากประสบการณ์ของทีมนักวิชาการด้านการศึกษาผลิตครูในพื้นที่ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้พัฒนาแนวทางต้นแบบของ “สมรรถนะ AI สำหรับครูไทย” เพื่อเสนอเป็นกรอบคิดสำหรับการพัฒนาครูในระดับนโยบาย ซึ่งครอบคลุม 4 มิติหลัก ที่ไม่ได้เน้นทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมทั้งจริยธรรม การออกแบบการเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองอย่างลึกซึ้ง
มิติที่หนึ่ง : ความเข้าใจพื้นฐานและวิจารณญาณด้าน AI (AI Literacy & Understanding) ครูต้องรู้ว่า AI ทำงานอย่างไร มีข้อจำกัดอะไร ไม่ใช่แค่รู้จักชื่อเครื่องมือ แต่ใช้เป็นและตั้งคำถามได้ เช่น รู้ว่า AI อาจสร้างข้อมูลเทียม และไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง
มิติที่สอง : วิธีสอนที่ใช้ AI เสริมพลังการเรียนรู้ (AI-Enhanced Pedagogy) AI ไม่แทนครู แต่ช่วยออกแบบบทเรียน วิเคราะห์งาน หรือสร้างแบบฝึกเฉพาะบุคคลได้ ครูที่มีสมรรถนะนี้จะใช้ AI เพื่อยกระดับคุณภาพ ไม่ใช่แค่เพื่อประหยัดเวลา
มิติที่สาม : จริยธรรมและการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ (AI Ethics & Responsible Use) ครูต้องใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ไม่ส่งเสริมการลอกงาน ไม่ละเมิดข้อมูลของนักเรียน และเข้าใจหลักการปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างเหมาะสม
มิติที่สี่ : การเรียนรู้และเติบโตของครูร่วมกับ AI (AI Co-Creation & Growth) AI สามารถเป็นผู้ช่วยสะท้อนคิดให้ครู วิเคราะห์บทเรียน ตั้งคำถามใหม่ และช่วยออกแบบการสอนจากมุมมองหลากหลาย เพื่อให้ครูพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง
สมรรถนะเหล่านี้ไม่เพียงพัฒนาทักษะเชิงเทคนิค แต่ยังเป็นการสร้างกรอบคิดใหม่ว่า “ครูต้องไม่ใช่แค่ผู้ใช้ AI แต่เป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ร่วมกับ AI อย่างมีเป้าหมาย”
-ถ้าไม่เริ่มวันนี้…อนาคตการศึกษาไทยอาจไม่มีวันมาถึง
แม้เราจะมีแผนยุทธศาสตร์ มีนโยบาย EdTech และโครงการนำร่องมากมาย แต่ “คุณภาพ” ทางการศึกษาในยุค AI จะไม่มีทางเกิดขึ้น หากเรายังผลิตครูด้วยหลักสูตรเดิม ยังอบรมครูแบบแยกขาดจากชีวิตจริง ยังวัดผลด้วยข้อสอบชุดเดียวในโลกที่เปลี่ยนทุกวัน เราจะพูดถึง “คุณภาพ” ได้อย่างไร หากยังวัดความรู้แบบเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน ขณะที่เด็กสามารถใช้ AI คิด วิเคราะห์ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ภายในไม่กี่วินาที? หากเราไม่เริ่มวันนี้ ไม่เริ่มสร้างครูที่เข้าใจ AI อย่างลึกซึ้ง ไม่เริ่มพัฒนาห้องเรียนที่กล้าทดลอง ไม่เริ่มออกแบบระบบที่ยืดหยุ่นและยุติธรรมกับผู้เรียน เราอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้
“คำถามไม่ใช่ว่าเราพร้อมหรือยัง…แต่เรายังยอมให้อนาคตของเด็กไทยอยู่กับวิธีการในอดีต ขณะที่โลกไปไกลถึงอนาคตแล้วหรือ?”
รศ.ดร.อิศรา ก้านจักร
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น