สามสิบล้านกับความเป็นมนุษย์ในยุคข่าวสารสับสน : โดย วิภาพ คัญทัพ

เรื่องการช่วงชิงหวย 30 ล้าน ระหว่างครูปรีชากับหมวดจรูญซึ่งเป็นที่สนใจของมวลชน และสื่อนำเสนออยู่ไม่ขาดระยะในทุกวัน เรื่องนี้มีประเด็นน่าติดตามไม่ใช่แค่การแห่แหนกันไปตามกระแสสังคม แต่เพราะมีความน่าสนใจจริงๆ ในหลายแง่ ทว่าในที่นี้จะขอกล่าวในแง่ภาพสะท้อนความเป็นมนุษย์ซึ่งมีหลายประการด้วยกัน กล่าวคือ

ประการแรก มนุษย์กับการโกหก เรื่องนี้มีคนโกหกแน่นอนและโกหกแบบหน้าด้านๆ ผ่านสื่ออย่างท้าทายศีล 5

ทั้งตำรวจ ทนาย และสื่อมวลชน ต่างก็ตั้งหน้าไปตามน้ำลายของคนโกหก โดยมีมาตรฐานว่าเมื่อไม่รู้ว่าใครพูดอะไรก็ต้องฟังให้หมดไปในทุกคนที่อยากพูด ทั้งนี้ นัยว่าเพื่อความเป็นธรรม เล่นเอามวลชนคนรับฟังติดตามกันจนเหนื่อยอ่อนไปตามๆ กัน

ยิ่งหาบทสรุปไม่ได้สักที ยิ่งกลายเป็นเสน่ห์ชวนติดตาม สื่อมวลชนเสนอข่าวกันอย่างสนุก ทำนองเดียวกับคนที่ขายของได้ขายของดี เรียกว่าข่าวนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทำให้คนจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาโยงตัวเองเข้าไปอยู่ในกระแสข่าวจะด้วยบทบาทอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี สื่อก็ยิ่งชอบที่มีตัวละครให้เสนอข่าวได้มากมายหลากหลายยิ่งขึ้น

Advertisement

ประการต่อมา มนุษย์กับความยุติธรรม กล่าวคือการทำงานอ้อมค้อม หรือวกวนไปวนมาหาความยุติธรรมให้แก่ใครไม่ได้ง่ายๆ ในที่นี้ หมายถึงสถาบันตำรวจที่มีหน้าที่เข้ามาค้นหาความจริง ซึ่งน่าชมว่าขยันค้นหากันอย่างมาก ใช้เวลาทุ่มเทกับเรื่องนี้เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน เกือบครึ่งปีแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แถมยังมีทีท่าว่าจะยืดยาวต่อไปอีก พูดอย่างสั้นแค่คนสองคนแย่งยื้อผลประโยชน์ในสลากกินแบ่ง กับความซับซ้อนที่มีอยู่ ดูเหมือนเป็นการพยายามตกแต่ง

ต่อไปก็กล่าวว่าตำรวจจะส่งเรื่องราวที่ค้นคว้าหามาได้นี้ให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะนั่งแท่นรอพิพากษา ซึ่งก็น่าที่มวลชนจะติดตามดูด้วยใจระทึกว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

ประการที่สาม มนุษย์กับการหาและการให้ผลประโยชน์ เรื่องนี้เกิดความน่าสงสัยว่าจะมีกระบวนการที่มีผลประโยชน์กับการแบ่งเงิน 30 ล้านก้อนนี้ หรือไม่ อย่างไร แต่การหาเหตุยืดเยื้อยาวไปและบางกรณีเหมือนมีบางองค์กรเข้ามาปกป้องปัจเจกบุคคลให้เป็นเรื่องของความเข้าใจผิด อุปาทานหมู่ ตลอดจนความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ด้านหนึ่งเรื่องใหญ่ถูกทำให้เป็นเรื่องเล็ก เช่น นายตำรวจใหญ่ที่มีข่าวว่าเข้าไปพัวพัน อีกด้านหนึ่งเรื่องเล็กกลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เช่น ทนายประชาชนก็โดนเข้าด้วย ในเรื่องการแต่งกายไม่เหมาะสม ทั้งที่ดูทำงานดีมาตลอด คือเป็นปากเป็นเสียงให้กับลูกความของตนอย่างขยันขันแข็ง เรียกว่าเอาไหนเอากัน

Advertisement

ยังมีหน่วยงานอาสามาช่วยค้นหาความจริง น่าสังเกตว่าการค้นหาความจริงของหน่วยงานอาสาเช่นนี้ทำให้ตำรวจต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมาและจำต้องเสนอรายงานต่อประชาชน แต่หน่วยงานอาสาดังกล่าวก็ต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการใส่ร้ายป้ายสีจากพวกไม่เห็นด้วยและไม่เห็นดี หรือเพื่อป้องกันตัวเองให้ดูเป็นผู้บริสุทธิ์

ประการที่สี่ มนุษย์กับความเป็นอยู่ในสังคม เรื่องความยุติธรรมที่จะเกิดขึ้นมาให้เห็นได้บ้าง เป็นเพราะความสนใจของประชาชน น่าคิดว่ากรณีนี้เป็นกรณีที่ถูกเปิดให้มาร่วมรู้ร่วมเห็นโดยทนายประชาชนพาออกสื่อ หากเป็นกรณีปิด ประชาชนไม่รับรู้ด้วยอาจไร้ความยุติธรรมไปนานแล้ว สำหรับกรณีนี้ประชาชนที่ไม่มีผลประโยชน์ร่วมด้วย ต่างพยายามดูอยู่ว่าบทสรุปของกรณีนี้จะจบลงอย่างไร

เหตุที่ประชาชนคนดูยืนอยู่ข้างความบริสุทธิ์ยุติธรรม ด้านหนึ่งสะท้อนว่า ประชาชนต้องการจะเห็นว่าพวกคนจะอยู่ในสังคมนี้อย่างไรถ้าคนและรวมถึงองค์กรต่างๆ ในสังคมเป็นเช่นนี้

ประการที่ห้า มนุษย์กับความอดทนทางจริยธรรม มีบางคนออกมาทำคลิปล้อเลียนพฤติกรรมของคนที่ตัวเองเห็นว่าเป็นพวก
ขี้โกงและโกหก บางคนก็ใช้วิธีด่าว่ากันตรงๆ อย่างหยาบคายเลยทีเดียว สะท้อนว่า อดรนทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของคนในสังคมที่ออกมาแสดงพฤติกรรมหน้าไม่อาย ทำให้สังคมสับสนโดยเฉพาะทำให้องค์กรต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษ เช่น สื่อมวลชน ตำรวจ และทนาย รวมถึงกลุ่มมิจฉาชีพที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในสถานการณ์นี้

ประการที่หก มนุษย์กับความห้าวหาญต้านอธรรม ในที่นี้หมายถึงทนายประชาชนฝ่ายหมวดจรูญเพราะโดนป่วนหนักจากฝ่ายตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม น่านับถือน้ำใจที่อดทนไม่ย่อท้อ ซ้ำยังห้าวหาญไม่หยุดหย่อนจนเป็นที่หมั่นไส้ของฝ่ายตรงกันข้าม รวมถึงพวกที่ไม่อยากเห็นใครเก่งใครดีไปกว่าตัว ต่างพยายามจับประเด็นขึ้นมาหน่วงการทำงานของทนายประชาชน แต่ก็ดูไม่เป็นผลนัก

การติดตามข่าวสารปัจจุบันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพยายามทำให้ครบในทุกด้าน เท่าที่ปรากฏผ่านสื่อออกมาจึงสามารถจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายของผู้คนหรือนักวิจารณ์ในยุคสมัยนี้ เท่ากับเปิดช่องให้การวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อต่างๆ อ่อนด้อยลงไป

ในปัจจุบันที่มีกระแสข่าวหลากหลาย ท่ามกลางสื่อหลายรูปแบบที่ผลิตออกมาทุกวันอย่างต่อเนื่อง ข่าวที่มีลักษณะยืดเยื้อเช่นนี้มีพื้นที่กว้างขวางมาก ถ้าเปรียบเป็นคนคนหนึ่งซึ่งมีเรื่องราวมาก คำโบราณกล่าวเป็นสำนวนไว้ว่า มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูก ข่าวหวย 30 ล้านนี้ก็มีลักษณะเป็นเช่นนั้น เพราะเดี๋ยวก็มีเรื่องนี้โผล่ขึ้นมา เรื่องนั้นโผล่ขึ้นมาอีก

น่าคิดว่า การตามล่าหาความจริงของหน่วยงานพัวพันรับผิดชอบ ไม่ว่าตำรวจ ทนาย หรือสื่อก็ดี ควรจะมีวิธีตัดเรื่องราวที่เข้ามาทำให้เรื่องเยิ่นเย้อออกไปเสียบ้าง มิใช่แบกรับไว้ทุกเรื่อง เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้เกิดความสับสน ทั้งในการทำงานและการติดตามข่าว ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกมิจฉาชีพได้ใจ เสมือนการให้ท้ายคนผิด โดยต่ออายุให้พวกเขาทำชั่วหรือสร้างพฤติกรรมชวนสับสนต่อเนื่องไปอีก

แต่วิธีการตัดเรื่องราวที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง ควรทำเช่นไรจึงเหมาะสม เป็นเรื่องแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบนั้น จำเป็นจะต้องพิจารณากันต่อไป

วิภาพ คัญทัพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image