จากละคร‘บุพเพสันนิวาส’ ปรากฏการณ์เพื่อกระแสหรือความยั่งยืน : โดย ผศ.ดร.รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร

วันนี้สังคมไทยในภาพรวมต่างกล่าวขานและติดตามละครอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” กันอย่างต่อเนื่อง

ก่อนที่ละครเรื่องนี้จะนำเสนอผ่านไทยทีวีสีช่อง 3 ผู้เกี่ยวข้องที่ร่วมกันรังสรรค์ไม่มีใครคาดคิดว่าละครเรื่องดังกล่าวจะสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของแฟนละครและผู้คนในระดับต่างๆ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์และกระแสอย่างที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม จากกระแสนิยมและปรากฏการณ์ของละครอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้จะเป็นบทสะท้อนและตัวชี้วัดที่สำคัญให้ผู้สร้างหรือผู้เกี่ยวข้องที่มีต่อละครโทรทัศน์จะได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการผลิตหรือสร้างสรรค์เพื่อจะได้เป็นละครน้ำดีมีผู้ติดตามและสนใจจนสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสังคมและประเทศชาติในมิติต่างๆ

ตัวชี้วัดที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของละครจากกรณี “บุพเพสันนิวาส” ที่สามารถสร้างค่านิยมและกระแสที่ผูกมัดให้ผู้ชมชื่นชอบและคลั่งไคล้คงจะเป็นเรื่องราวที่ผู้สร้างได้นำบทประพันธ์และบทละครโทรทัศน์ที่อิงประวัติศาสตร์ด้วยการนำศิลปะและวัฒนธรรมมาผูกติดเป็นนวัตกรรมผ่านตัวละครต่างๆ ที่มีเสน่ห์น่าติดตาม

Advertisement

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้บ้านเราใช่ว่าจะไม่มีผู้ผลิตหรือผู้สร้างละครหรือภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ออกมานำเสนอต่อสายตาผู้ชมแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับและเกิดกระแสอย่าง “บุพเพสันนิวาส” ทั้งๆ ที่มีการได้ลงทุนลงแรงไปเป็นอย่างมาก

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่พร้อมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถนำมาต่อยอดเพื่อให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ดูได้จากตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลกันเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงสองเดือนแรกของปี 2561 มีตัวเลขที่สูงพอสมควรและเมื่อรวมกับเม็ดเงินที่กระจายไปในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยแล้วนับว่าเป็นตัวเลขที่น่ายินดียิ่ง

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันสิ่งที่ฝังแน่นกลายเป็นปรากฏการณ์และค่านิยมที่ผูกติดกับผู้คนหรือแม้กระทั่งผู้นำประเทศ (บางยุค) มักที่จะเกาะติดและหลงใหลไปกับกระแสในลักษณะชั่วครั้งชั่วคราวมาเร็วไปเร็วจนไม่สามารถนำไปสู่ความยั่งยืนแห่งอนาคตที่แท้จริงได้

Advertisement

วันนี้รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศหรือรัฐมนตรีในบางกระทรวงได้นำเอากระแสของละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่โด่งดังและมีทีท่าว่าจะฉุดไม่อยู่มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาและสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยเช่นในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเร็วๆ นี้ นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้แจกหนังสือจินดามณีให้ผู้เข้าร่วมประชุม ครม.ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังให้แต่ละคนไปท่องจินดามณีซึ่งเป็นแบบเรียนฉบับแรกของไทยมาคนละ 1 บท

ในประเด็นนี้เป็นกระแสที่ถูกนำมาพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์หลายฉบับเช่นเดียวกัน สำหรับในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ปลุกกระแสให้ผู้คนสนใจไปท่องเที่ยวในเมืองรองตามนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะในเทศกาลสงกรานต์ที่คาดว่านักท่องเที่ยวจะกระจายกันไปทั่วทุกแหล่งพร้อมกับเชิญชวนการแต่งชุดไทยเพื่อให้ฟินกับกระแสฟีเวอร์ของละครดัง

ในมิติของเศรษฐกิจจากกระแสของละคร “บุพเพสันนิวาส” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกล่าวด้วยว่า ช่วยให้เกิดเม็ดเงินสะพัดโดยเฉพาะการสั่งตัดชุดไทยและการท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของจังหวัดขยายตัวมากขึ้นและต่อไปอาจจะมีละครย้อนยุคที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของพื้นที่ในจังหวัดขยายตัวดีขึ้น เช่น “บุพเพสุโขทัย” ก็จะทำให้คนสนใจในเรื่องหลักศิลาจารึกและไปท่องเที่ยวสุโขทัยมากขึ้น

ในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมซึ่งถือได้ว่ากระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” ทำให้กระทรวงนี้เกิดเต็มตัวมีผลงานและกิจกรรมเกาะกระแสในมิติต่างๆ ออกมาสู่สังคมอย่างต่อเนื่องนอกจากจะสนับสนุนให้มีการสร้างละครย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีแล้ว ในเรื่องของการแต่งกายย้อนยุคตามอย่างละคร นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและกระทรวงพร้อมสนับสนุนให้ทุกฝ่ายสวมใส่ผ้าไทยทุกโอกาส ทุกสถานที่รวมทั้งส่งหนังสือเวียนไปยังหน่วยงานในสังกัดรณรงค์ให้บุคลากรแต่งผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน

อันที่จริงหากจะเหลียวหน้าแลหลังของสังคมไทยจะพบว่าในทุกยุคทุกสมัยจะมีการรณรงค์ให้ผู้คนตื่นตัวและมีค่านิยมที่ดีเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องแต่ดังที่ทราบว่าด้วยกระแสของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาโดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่กระแสของสื่อสังคมโซเชียลมาแรงความผูกพันกับค่านิยมหรือมิติแห่งการสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืนจึงไม่สามารถผูกติดกับสังคมได้ เช่น ปรากฏการณ์ที่มองเห็นได้ชัดในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการบ้านเมือง ผู้นำประเทศหลายยุคมีวิสัยทัศน์และนโยบายในการพัฒนาประเทศอันมีคุณค่ายิ่ง

แต่เมื่อเปลี่ยนผ่านรัฐบาลทุกครั้งแนวคิดหรือนโยบายเดิมที่ถือได้ว่าเป็นความดีงามที่สมควรจะสานต่อแต่กลับได้รับการเมินเฉย

ประเด็นการเมินเฉยหรือการปล่อยวางอันไม่สามารถนำมาเป็นกระแสได้อย่างต่อเนื่องถ้าจะชี้ให้เห็นกันอย่างชัดๆ คงจะเป็นผลงานของนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันที่ได้มอบไว้กับสังคมไทยคือค่านิยม 12 ประการ ที่ว่าด้วยความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตลอดจนความซื่อสัตย์ เสียสละ อดทนมีอุดมการณ์ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่วันนี้กลับเลือนหายและเป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการในฐานะเป็นองค์กรหลักแห่งการพัฒนาคนและบ่มเพาะองค์ความรู้ให้กับออเจ้าเยาวชนทั่วประเทศแต่กลับไม่สามารถนำไปปลุกกระแสหรือให้เกิดปรากฏการณ์เพื่อการปฏิบัติได้อย่างยั่งยืน

ปรากฏการกระแสของละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่สะท้อนให้ผู้คนทั้งพระนครและสยามประเทศ ณ เวลานี้หันกลับมาตื่นตัวและสนใจในศิลปะและวัฒนธรรมรวมทั้งประวัติศาสตร์ของชาตินั้น ผู้เขียนในฐานะผู้บริโภคละครโทรทัศน์ต้องขอชื่นชมและขอบคุณทีมงานไม่ว่าจะเป็นผู้ประพันธ์ ผู้เขียนบทละครโทรทัศน์ ผู้กำกับและผู้แสดง

และที่สำคัญยิ่งคือผู้สร้างละครคุณภาพอย่าง คุณอรุโณชา ภาณุพันธ์ ในฐานะผู้ที่เล็งเห็นคุณค่าในมิติแห่งความเป็นไทยและเหมาะสมยิ่งที่สภามหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตได้เห็นคุณค่าในความสามารถและฝีมือด้วยการสร้างผลงานละครสะท้อนปัญหาและสร้างสรรค์สังคมโดยเฉพาะละครย้อนประวัติศาสตร์ที่ส่งเสริมจิตสำนึกให้ผู้ชมมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และรังสรรค์ศิลปวัฒนธรรมด้วยดีเสมอมาจึงมีมติมอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยุโทรทัศน์และสื่อดิจิทัลประจำปีการศึกษา 2558 และได้เข้ารับประสาทปริญญาไปแล้วเมื่อเดือนมกราคม 2560 จากผลงานของผู้สร้างและผู้เกี่ยวข้อง

จึงถือได้ว่าละครเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือหรือนวัตกรรมต้นแบบที่สังคมไทยและผู้สร้างละครหรือภาพยนตร์สามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี

วันนี้การรณรงค์เพื่อปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามให้อยู่ควบคู่กับสังคมไทยได้ยั่งยืนและเลยทะลุ 4.0 จึงมีความสำคัญและจำเป็นยิ่งที่รัฐบาลจะต้องนำมาเป็นโจทย์หรือการบ้านเพื่อสร้างความตระหนักรู้ ความตื่นตัวให้ปรากฏอยู่ในจิตสำนึกของผู้คนดังกระแสที่ละคร “บุพเพสันนิวาส” สะท้อนให้เห็นเป็นต้นแบบแห่งความเป็นไทย

จากปรากฏการณ์ของกระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” คงถึงเวลาที่ออเจ้าทุกภาคส่วนโดยเฉพาะสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาและสถาบันศาสนาที่จะเป็นแกนนำขับเคลื่อนเพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนตลอดจนสังคมไทยตื่นตัวและตระหนักในความเป็นไทยเพื่อไม่ให้เป็นเพียงแค่กระแสในลักษณะมาเร็วไปเร็วแต่ควรรังสรรค์ให้ยั่งยืนสืบไป

ผศ.ดร.รัฐพงศ์ บุญญานุวัตร
ศูนย์นวัตกรรมการพัฒนาทุนมนุษย์
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image