นิยายเชิงสังวาสใน “มโหรี” เพลงดนตรีของราชสำนักสมัยอยุธยา โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ

 

มโหรีจำลองแบบอยุธยา ม.ล. เสาวรี ทินกร ดีดกระจับปี่, นางท้วม ประสิทธิกุล ตีกรับ ขับลำนำ, นางสาวชิ้น ศิลปบรรเลง สีซอสามสาย, นางสาวสาลี ยันตรโกวิท ตีทับ (ภาพเก่า พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2482)

ดนตรีไทย เป็นชื่อเพิ่งสร้างใหม่หลังเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย และจากชาวสยามเป็นคนไทย เมื่อ พ.ศ. 2482

สมัยอยุธยา ไม่เรียกดนตรีไทยในความหมายรวมๆ ที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Thai Music แต่จะเรียกแยกเป็นชื่อๆ ตามลักษณะการประสมเครื่องมือกลุ่มต่างๆ เช่น “ปี่พาทย์ฆ้องวง” (ในพระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ), “เป่าปี่เป่าขลุ่ยสีซอดีดจะเข้กระจับปี่ตีโทนทับ” (ในกฎมณเฑียรบาล)

คำว่า ดนตรี เป็นชื่อเฉพาะที่หมายถึงวงบรรเลงขับกล่อมอย่างหนึ่งคู่กับมโหรีมีใช้แล้วสมัยอยุธยาตอนต้นๆ หรืออาจมีก่อนสมัยอยุธยาก็ได้ ล้วนเป็นพิธีกรรมทางการเมืองยุคนั้น

Advertisement

 

ดนตรีและมโหรี

ดนตรีกับมโหรี มี 2 ชื่อต่างกัน ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาใช้เรียกเครื่องบรรเลงขับกล่อมชุดเหมือนกัน

Advertisement

พบเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยต้นอยุธยาเรือน พ.ศ. 2000 แสดงว่าเป็นที่รู้จักคุ้นเคยมาแล้วตั้งแต่ยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา

ทั้งหมดเป็นประเพณีของคนชั้นนำเท่านั้น ได้แก่ เจ้านาย, ขุนนาง, ข้าราชการ เป็นต้น จึงไม่ใช่เครื่องบันเทิงของสามัญชนคนชาวบ้านทั่วไป

 

ดนตรี, มโหรี สืบทอดประเพณีจากสมัยอยุธยา ในจิตรกรรมฝาผนังสมัย ร.1 ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

 

เหมือนกัน และต่างกัน

ดนตรีกับมโหรี ทำหน้าที่บรรเลงขับกล่อมพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยา มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน ดังนี้

เหมือนกัน คือ เครื่องมือบรรเลงชิ้นสำคัญ ได้แก่ เครื่องมีสายใช้ดีดและสี เช่น พิณ, ซอ ฯลฯ

เจ้าพนักงานบรรเลงขับกล่อมเป็นผู้หญิงล้วน เพราะเป็นที่รโหฐานอยู่ในพระราชฐานชั้นใน (มีผู้ชายคนเดียว คือ พระเจ้าแผ่นดิน)

กฎมณเฑียรบาล เรียก “เสภาดนตรี” และมีเอกสารอื่นเรียก “เสภามโหรี”

คำว่า เสภา มาจากภาษาสันสกฤตว่า เสวา แปลว่า ผู้ปรนนิบัติรับใช้ หรือเจ้าพนักงาน (ไม่หมายถึงตีกรับขับเสภาด้วยผู้ชาย เพิ่งมีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์)

ต่างกัน คือ เนื้อหาขับกล่อม โดยดูจากคำร้อง ดังนี้

ดนตรี ขับกล่อมยอพระเกียรติเป็นทำนองเสนาะด้วยถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ รับมรดกตกทอดจากราชสำนักก่อนหน้านั้น (ซึ่งได้แบบแผนจากอินเดีย) มีหลักฐานเป็นปูนปั้นจากเมืองคูบัว (ราชบุรี) และจารึกศาลเจ้า (ลพบุรี) มีนักร้อง นักดีด นักสี กระทำบำเรอเทพเจ้า

หลักฐานสำคัญมีในอนิรุทธ์คำฉันท์ บอกว่า “ระงมดนตรี _ _ _ _ _”

มโหรี ขับกล่อมเป็นทำนองร้องลำนำเชิงสังวาสด้วยเรื่องราวมีนิยาย (หรือพงศาวดาร)

แท้จริงแล้วคือประเพณี “ดนตรี” อันศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปรับเป็นท้องถิ่น แล้วเรียกด้วยคำเขมรว่า “มโหรี” ในกฎมณเฑียรบาลเรียก “เบิกนิยาย” หมายถึงเบิกเรื่องราวบอกความเป็นมาของวงศ์วานว่านเครือ

 

ดนตรี-มโหรี และปี่พาทย์ฆ้องวง ตามประเพณีราชสำนักอยุธยา ภาพสลักตู้เท้าสิงห์ สมัยอยุธยา

 

เครื่องมีสาย

ดนตรี แปลว่าเครื่องมีสาย ได้แก่ เครื่องดีด, เครื่องสี (เช่น พิณ, ซอ) มีรากศัพท์จากบาลีว่า ตนฺติ (ตันติ) สันสกฤตว่า ตนฺตรินฺ (ตันตริน)

มโหรี (เป็นคำมรดกตกทอดจากประเพณีเขมร ยังไม่พบที่มาของคำนี้) น่าจะหมายถึงเครื่องมีสายอย่างเดียวกับดนตรี เพราะเป็นเครื่องบรรเลงขับกล่อมด้วยเครื่องมืออย่างเดียวกัน แต่เรียกชื่อต่างกันตามแบบแผนบรรเลงขับกล่อมไม่เหมือนกัน

 

มโหรีเครื่อง 5

“มโหรีเครื่อง 5” หมายถึงมโหรีมีเครื่อง 5 อย่าง แต่ต้นทางมาอย่างไร? จากไหน? ไม่พบหลักฐานตรงๆ มักใช้นิยามเรียกวงบรรเลงตามประเพณีที่พบในภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นรูปคนดีดกระจับปี่, สีซอสามสาย, เป่าขลุ่ย, ตีฉิ่ง ตีกรับ และโทนรำมะนา

โดยอ้างอิงคำว่า “เบญจดุริยางค์” ที่เชื่อกันว่าเป็นตำราที่ไทยรับจากอินเดีย

แต่ไม่เคยพบหลักฐานสนับสนุนคำนิยามเครื่องดีดสีเบาๆ อย่างนี้ (ต่อไปข้างหน้าถ้าพบหลักฐานเพิ่มเติมก็ต้องยกเลิกที่เขียนมานี้) พบแต่ว่า “เบญจดุริยางค์” เป็นเครื่องตีเป่าใช้ประโคมดังๆ ฟังอึกทึกคึกโครม

“เบญจดุริยางค์” เป็นคำบาลีไทย ที่มีรากจากบาลีแท้อยู่ในพระคัมภีร์ ว่า “ปญฺจงฺคิกตุริย” แปลว่า “ตุริยะประกอบด้วยองค์ 5” หมายถึง เครื่องตีกับเครื่องเป่า มี 5 สิ่ง

[จากหนังสือ ดนตรีในพระธรรมวินัย ของ ธนิต อยู่โพธิ์ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากร) พิมพ์ครั้งแรก 20 ตุลาคม 2498 หน้า 7-17]

 

ดนตรีเครื่องมีสาย ตั้งแต่ราว 500 ปี ก่อนสมัยอยุธยา เป็นต้นแบบดนตรี, มโหรี สมัยอยุธยา (ปูนปั้นประดับฐานสถูปราว พ.ศ. 1400 เมืองคูบัว อ. เมืองฯ จ. ราชบุรี)

 

นักดนตรีปี่พาทย์โดยทั่วไปเรียกเครื่องประโคม 5 สิ่งว่า “กลอง 4 ปี่ 1” (ตรงกับวงปี่ชวา กลองแขก มาจาก ดุริยะ แปลว่า เครื่องตี เครื่องเป่า ได้แก่ กลองและปี่)

ต่อมาได้ปรับเป็นท้องถิ่นเรียก “ปี่พาทย์เครื่อง 5” แต่ไม่เคยพบว่าเรียก “มโหรีเครื่อง 5”

 

ดนตรียอพระเกียรติ

วงดนตรี (เสภาดนตรี) มีตัวอย่างเนื้อหาอยู่ในกาพย์ขับไม้เรื่องพระรถเสน (มาจากตำนานบรรพชนลาวเรื่องพระรถเมรี ตอนพระรถเสวยราชย์) ดังนี้

ขึ้น     เกยแก้วเก้าสิ่ง             เสวยสวัสดิ์

ตั่ง          สุพรรณรายรัตน์         เพริศแพร้ว

นั่ง          ในวรเศวตฉัตร           เฉลิมโลกย์

เมือง      บพิตรพระแก้ว           แต่นี้จักเกษม

ขึ้นตั่งนั่งเมือง แท่นทองรองเรือง สุขศรีปรีดิ์เปรม เมืองกว้างช้างหลาย ลูกขุนมูลนาย อยู่เย็นเป็นเกษม ยินดีปรีดิ์เปรม วิโรจโอชเอม ทังหลายถวายกร ฯ

 

มโหรีเล่านิยาย

วงมโหรี (เสภามโหรี) มีตัวอย่างบทเพลงร้องเรื่องพระรถเสน (พระรถ นางเมรี) ดังนี้

ฝ่ายนาฏเมรีศรีสวัสดิ์            บรรทมเหนือแท่นรัตน์ปัจถรณ์

ดาวเดือนเลื่อนลับยุคันธร       จะใกล้แสงทินกรอโณทัย

ฟื้นกายชายเนตรนฤมล           มิได้ยลพระยอดพิศมัย

แสนโศกปริเทวนาใน               อรทัยทุ่มทอดสกลกาย

 

พระรถ นางเมรี

พระรถ นางเมรี เป็นตำนานบรรพชนลาว ถูกยกย่องใช้ในงานสมโภชสำคัญของราชสำนัก ตกทอดจากยุคอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์

เป็นพยานสำคัญว่าพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่แรกสถาปนามีบรรพชนเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับวงศ์ลาวลุ่มน้ำโขง

 

ขับซอ

ขับกล่อมเคล้าบรรเลงเครื่องมือเสียงเบา ซึ่งเป็นต้นแบบดนตรี, มโหรี เป็นประเพณีมีในคนพื้นเมืองดั้งเดิมทุกเผ่าพันธุ์หลายพันปีมาแล้ว

ใช้วิงวอนต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ (ผีบรรพชน) เพื่อร้องขอความอุดมสมบูรณ์เจริญพืชพันธุ์ธัญญาหาร

แล้วยังใช้ขับลำทำขวัญงานศพ คือเรียกขวัญคืนร่างคนตาย และส่งขวัญคนตายไปสิงสู่อยู่รวมกับผีขวัญบรรพชนบนฟ้า

ประเพณีขับลำทำนองอย่างนี้ ต่อมาพบในวรรณกรรมเก่าแก่ลุ่มน้ำโขง เรียกขับซอยอยศ, ขับซอยอราช (ซอ แปลว่า ขับร้อง)

แต่ทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา รับแบบแผนศักดิ์สิทธิ์เข้ามาประสมประสานจากวัฒนธรรมอินโด-เปอร์เซีย (อินเดียกับอิหร่าน) ได้แก่ พิณ, ซอสามสาย, โทน-รำมะนา ราว 1,500 ปีมาแล้ว หรือเรือน พ.ศ. 1000 (รู้จักกันทั่วไปว่าสมัยทวารวดี ซึ่งเป็นต้นทางต้นแบบต่อไปให้สมัยอยุธยา)

พบหลักฐานเก่าสุดเป็นปูนปั้นสตรีขับลำและบรรเลงเครื่องมือ 5 คน ประดับฐานสถูปเจดีย์เมืองคูบัว (อ. เมืองฯ จ. ราชบุรี) หลังจากนั้นพบศิลาจารึกศาลเจ้า (อ. เมืองฯ จ. ลพบุรี) ระบุการทำบุญถวายเทพเจ้าในเทวสถานด้วยสตรี 4 คน มีนางระบำ, นักร้อง, นัก ดีด, นักสี

 

วัฒนธรรมเปอร์เซีย

เครื่องมโหรีส่วนหนึ่งรับจากเปอร์เซีย (ปัจจุบันเรียก อิหร่าน)

วัฒนธรรมเปอร์เซียในไทย ก่อหวอดฟักตัวบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา อย่างน้อยตั้งแต่ยุคทวารวดี 1,500 ปีมาแล้ว ก่อนสมัยอยุธยาเกือบพันปี

เป็นต้นทางอาหารหวานคาว (เช่น แกงเผ็ด, ขนมหวาน), เครื่องแต่งตัว (เช่น เสื้อครุย, ลอมพอก), สถาปัตยกรรม (วงโค้งในอาคาร, สะพานโค้ง), ศิลปกรรม (ลวดลายหลายอย่าง) ฯลฯ รวมทั้งดนตรี ได้แก่ ปี่ไฉน (สรไน), รำมะนา (ระบานญา), ซอสามสาย (ระบับ), ขิม เป็นต้น

ไทยคล้ายสะพานเชื่อมโยงโลกตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนทางสังคมและวัฒนธรรมนานมากกว่า 1,500 ปีมาแล้ว หรือก่อนยุคทวารวดี

ทั้งนี้เพราะไทยมีพื้นที่คาบสมุทรยื่นยาวตั้งแต่อ่าวไทยลงไปทางทิศใต้ ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก กับมหาสมุทรอินเดีย มีตำแหน่งเกือบกึ่งกลางของอาเซียน

ตะวันออก คือ จีน เป็นสำคัญ และเกาหลี, ญี่ปุ่น

ตะวันตก ได้แก่ อินเดีย, ลังกา, ตะวันออกกลาง ประกอบด้วย อาหรับ (อิรัก), เปอร์เซีย (อิหร่าน), หรุ่มโต้ระกี่ (ตุรกี) เป็นต้น

อ่านฉบับเต็มในออนไลน์ มติชนสุดสัปดาห์ เรื่อง มโหรี เพลงดนตรีมีนิยายเชิงสังวาส ของราชสำนักสมัยอยุธยา ไม่มีในชุมชนชาวบ้านชาวเมือง โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ

 

 

 

 

 

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image