ผู้นำเกาหลีเหนือ กับความเชื่อเรื่องตัวเลข โดย ปรีชาญาณ วงศ์อรุณ

ในที่สุด เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ก็ตกลงเห็นพ้องต้องกันกำหนดเลือกวันที่ 27 เมษายนเป็นวันฤกษ์ดีที่สุดสำหรับผู้นำประเทศที่จะพบปะเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี

ทำไมต้องเป็นวันที่ 27? เรื่องนี้มีคำตอบ

ชนชาติเกาหลีไม่ว่าจะอยู่เหนือหรืออยู่ใต้เส้นขนานที่ 38 ที่แบ่งแยกเป็นสองประเทศก็ไม่แตกต่างจากชาติอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชียที่มีความเชื่อในเรื่องตัวเลขอย่างมากๆ

อย่างเช่นคนพม่าเชื่อว่าเลข 8 คือเลขนำโชค ดังนั้น จึงถือเอาวันที่ 8 เดือน 8 ปี 1988 เป็นวันฤกษ์ดีในการเริ่มต้นเดินขบวนประท้วงรัฐบาลทหารครั้งใหญ่ที่สุด ทำให้เกิดวีรสตรีที่ชื่อออง ซาน ซูจี ขึ้นมาจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

Advertisement

สำหรับชาวจีนแล้ว ตัวเลขที่เป็นมงคลและนำโชคที่สุดก็คือเลข 8 ดังนั้น ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 จึงต้องยึดถือฤกษ์ให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด โดยพิธีเปิดในช่วงค่ำคืนเริ่มขึ้น ณ เวลา 08.08.08 ตรงเป๊ะ เพราะเริ่มต้นด้วยฤกษ์ดีที่สุด กีฬาโอลิมปิก 2008 จึงได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ชาวยิวก็เป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความเชื่อในเรื่องของตัวเลขอย่างมากๆ โดยเฉพาะเลข 7 ที่เกี่ยวข้องและผูกพันกับประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนายูดายมานานนับพันปี ด้วยเหตุนี้ ประวัติศาสตร์การสร้างรัฐอิสราเอลจึงมักผูกพันและเกี่ยวข้องกับเลข 7 อยู่เสมอๆ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความเรื่อง “ประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอล : ความบังเอิญหมายเลข 7” มติชน, 21 ธันวาคม 2560)

สำหรับผู้นำเกาหลีเหนือ ว่ากันว่า ยึดถือเลข 9 เป็นตัวเลขมงคลที่ถูกโฉลกกับประเทศมากที่สุด (รวมทั้งเลข 7 ที่คนเกาหลีโดยทั่วๆ ไปเชื่อว่าเป็นเลขนำโชค)

Advertisement

ด้วยพื้นฐานความเชื่อนี้ คิม อิล ซุง บิดาแห่งประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเกาหลีเหนือและผู้นำคนแรกจึงถือฤกษ์ก่อตั้งประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 เดือน 9 และถือฤกษ์วันที่ 30 มิถุนายน (3+6=9) 1949 เป็นวันก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานพรรคแรงงานเกาหลีหรือพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ รวมทั้งปรับเพิ่มจำนวนจังหวัดจากเดิมที่มีเพียง 5 จังหวัดเป็น 9 จังหวัด

ส่วน คิม จอง อิล ผู้นำคนที่สองที่ดูเหมือนจะถือเคล็ดในเรื่องเลข 9 ไม่น้อยกว่ากัน กระทั่งข้อมูลของทางการต้องระบุว่าเกิดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ (1+6+2=9) 1942 เพื่อเป็นเคล็ด (เหมือนคนไทยบางคนที่แก้ไขวันเกิดให้เป็นเดือนสิงหาคมเพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นดวงผู้นำ)

คิม จอง อิล เจริญรอยตามพ่อในเรื่องความเชื่อ โดยเลือกวันที่ 9 เมษายน 1993 เป็นวันฤกษ์ดีก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานพรรคฯที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ และตอกย้ำความเชื่อนี้ด้วยการเริ่มทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2006 จนยากจะเชื่อว่าเป็นความบังเอิญใดๆ

เมื่อถึงวันที่ต้องตระเตรียมส่งมอบอำนาจให้กับลูกชายเป็นผู้รับภาระคนต่อไป เนื่องจากสุขภาพที่ย่ำแย่อย่างหนัก คิม จอง อิล ถือฤกษ์เซ็นแต่งตั้ง คิม จอง อึน ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายพลประจำกองทัพ ซึ่งเป็นตำแหน่งแรกสุดของผู้นำคนปัจจุบันนี้เมื่อวันที่ 27 (2+7=9) เดือน 9 ปี 2010

ปีต่อมา ถึงแม้จะถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 17 ธันวาคม แต่รัฐบาลประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 เป็นเลข 9 ครั้งสุดท้ายสำหรับผู้นำคนที่สองของประเทศ

สำหรับผู้นำคนปัจจุบันที่มีทรงผมเป็นเอกลักษณ์ที่สุด นับเป็นความบังเอิญอย่างที่สุด ที่คิม จอง อึน ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศสืบทอดอำนาจเป็นรุ่นที่สามตั้งแต่วัยหนุ่มอายุเพียงแค่ 27 ปีเท่านั้น กระทั่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐก็ยังทึ่งและพยายามเข้าใจถึงความยากลำบากในการปกครองประเทศในวัยหนุ่มเช่นนี้

หลังจากนั้น คิม จอง อึน ค่อยๆ ไต่ระดับ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2016 นั่นคือประธานพรรคแรงงานฯและผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ตลอดระยะเวลาหกปีในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณปู่และคุณพ่อ ปรากฏว่าเกาหลีเหนือมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดสี่ครั้ง ดูเหมือนว่า คิม จอง อึน จะยึดถือฤกษ์อย่างเคร่งครัดโดยเลือกวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2013 (1+2+2+1+3=9) เป็นวันทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะการทดลองครั้งที่สาม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเลข 9 มากที่สุด นั่นคือทดลอง ณ เวลา 9 นาฬิกาของวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2016 (2+0+1+6=9) ที่ถือว่าประสบความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีมา จนถึงขั้นสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์บนขีปนาวุธได้

การทดลองครั้งต่อมาในเดือน 9 ปี 2017 เกาหลีเหนือประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดดถึงขั้นสามารถพัฒนาเป็นระเบิดไฮโดรเจน ที่มีพลังทำลายล้างร้ายแรงยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่สหรัฐเคยทิ้งบอมบ์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงพันเท่า เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับผู้นำคิมน้อยในวาระที่เกาหลีเหนือกำลังย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 69 ของการก่อตั้งประเทศ เพราะนั่นหมายถึงว่าเกาหลีเหนือได้
ก้าวเข้าสู่ฐานะความเป็นประเทศที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้เหมือนเช่นประเทศมหา
อำนาจอื่นๆ

การทดลองครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บรรลุความสำเร็จถึงขั้นอวดอ้างว่า ณ เวลานี้ เกาหลีเหนือสามารถยิงขีปนาวุธบรรจุหัวระเบิดนิวเคลียร์ข้ามทวีปไปไกลถึงสหรัฐและส่วนอื่นๆ ของโลก

หลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่โหมดสันติภาพก็ดูเหมือนว่าเลข 9 ยังคงมีความสำคัญไม่เสื่อมคลาย

เริ่มต้นในวันปีใหม่ปี 2018 ผู้นำเกาหลีเหนือก็ประกาศปรับเปลี่ยนท่าทีใหม่แบบ 180 องศา จนนำไปสู่การประชุมครั้งแรกในรอบสองปีระหว่างผู้แทนทั้งสองเกาหลีเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2018 กลายเป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี นับตั้งแต่เกาหลีเหนือตอบตกลงที่จะส่งทัพนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศเกาหลีใต้ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา

ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกว่า วันที่ 9 กุมภาพันธ์คือวันสำคัญแรกสุดที่บุคคลแรกในตระกูลคิมแห่งเกาหลีเหนือปรากฏกายบนแผ่นดินเกาหลีใต้ในระหว่างพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ว่ากันว่า คิม โย จอง ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ ได้สร้างความประทับใจอย่างมากจนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่งอกงามในสายตาของชาวเกาหลีใต้ทั้งประเทศ

กระทั่งบทบาทของหัวหน้าคณะผู้แทนเกาหลีใต้ในการทำหน้าที่นำสารและคำเชิญจากผู้นำเกาหลีเหนือไปส่งยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงทำเนียบขาวก็ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับตัวเลขด้วยอย่างน่าฉงน

โดยผู้แทนเกาหลีใต้ได้ถือฤกษ์เวลา 07.11 น. (7+1+1=9) ของค่ำคืนวันที่ 8 มีนาคม ซึ่งตรงกับเช้าวันที่ 9 ตามเวลาในเกาหลีเหนือ เพื่อแถลงข่าวดีให้ชาวโลกได้รับทราบว่า ผู้นำสหรัฐตอบตกลงที่จะพบปะกับผู้นำเกาหลีเหนือภายในเดือนพฤษภาคมนี้

น่าสนใจชวนสงสัยว่า ผู้แทนเกาหลีใต้เจตนาเลือกฤกษ์ดีเวลางามตามคำขอของผู้นำเกาหลีเหนือหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องความบังเอิญใดๆ เพราะโดยปกติแล้ว น้อยครั้งที่รัฐบาลสหรัฐจะอนุญาตให้ผู้แทนต่างชาติแถลงการณ์ใดๆ ภายในเขตทำเนียบขาว โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้แจ้งต่อผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบข่าวให้ทราบล่วงหน้าว่า ผู้แทนเกาหลีใต้จะแถลงข่าวใหญ่ ณ เวลาหนึ่งทุ่ม

ดังนั้น หากความเชื่อในเรื่องตัวเลขมีส่วนสำคัญอย่างที่ไม่อาจละเลยได้ ก็จะช่วยทำให้เข้าใจได้กระจ่างมากขึ้นถึงตารางเวลาสำคัญๆ ของผู้นำเกาหลีเหนือคนนี้

นั่นคือ คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนที่ คิม จอง อึน พบปะกับประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ณ กรุงปักกิ่งเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม และกำหนดจะพบปะกับผู้นำเกาหลีใต้ในวันที่ 27 เมษายนนี้ ซึ่งจะเป็นวันแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำตระกูลคิมแห่งเกาหลีเหนือข้ามพรมแดนไปยังแผ่นดินเกาหลีใต้

มีโอกาสความเป็นไปได้เช่นกันว่า ความเชื่อในเรื่องเลข 9 (โดยเฉพาะเลข 27) อาจจะถูกนำมาพิจารณาเพื่อใช้กำหนดวันเวลาที่จะพบปะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในเดือนพฤษภาคมนี้ ท่าทีล่าสุดของผู้นำเกาหลีเหนือเหมือนจะบ่งบอกเช่นนั้น นั่นคือ หลังจากเงียบหายไปนานร่วมหนึ่งเดือน (นับตั้งแต่วันที่ผู้นำสหรัฐตอบตกลงที่จะพบปะด้วย) ในที่สุด คิม จอง อึน ก็ “เปิดปาก” เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อแจ้งให้คณะกรรมการกลางแห่งพรรคแรงงานฯได้รับทราบอย่างเป็นทางการ เป็นการยืนยันว่า การพบปะกับผู้นำสหรัฐเกิดขึ้นอย่างแน่นอน (หากไม่มีอุบัติเหตุใดๆ)

ไม่ว่าผู้นำเกาหลีเหนือจะยึดถือตัวเลขตามความเชื่อมากมายแค่ไหน แต่เชื่อได้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คงจะไม่ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจนถึงขั้นต้องหาทางแก้เคล็ดใดๆ อย่างแน่นอน

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เมื่อเลือกวันที่ 27 เป็นวันพบปะทั้งผู้นำจีนและผู้นำเกาหลีใต้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่า คิม จอง อึน จะถือเคล็ดขอเลือกวันที่ 27 พฤษภาคม (อีกครั้ง) เป็นวันพบปะกับผู้นำสหรัฐครั้งประวัติศาสตร์ และหากปรากฏเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะตอกย้ำให้เห็นว่าผู้นำเกาหลีเหนือคนนี้มีความเชื่อในตัวเลขอย่างจริงๆ จังๆ ที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image