สถานีคิดเลขที่ 12 : PM 2.5/PM 4.0

ขณะที่ดูเหมือน ฝุ่นพิษ PM 2.5 (Particulate Matter 2.5) เริ่มผ่อนคลายลง
แต่กรณี PM 4.0 (Prime Minister 4.0) อันหมายถึง (การช่วงชิง) นายกรัฐมนตรี ยุค 4.0 นั้นดูเหมือน  ความคละคลุ้ง กำลังเริ่มต้นขึ้น
แม้จะผ่านกำหนดการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 แล้ว ก็ยังไม่แน่ว่าฝุ่นจะหายคลุ้ง
ต้องรอดูผลเลือกตั้งที่ออกมา
รวมถึงการยินยอมของฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะด้วยว่าจะยอมรับแค่ไหน
และคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เป็นกรรมการ จะตัดสินเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายหรือไม่
หากทุกอย่างราบรื่น
เราก็คงได้ยืนปรบมือต้อนรับ PM ยุค 4.0 อย่างชื่นมื่น
แต่ถ้าไม่
PM 4.0 ก็คงแปรสภาพเป็น PM 2.5 ทำให้บรรยากาศการเมืองกลายเป็นพิษอย่างหลีกเลี่ยงยาก

ถ้าให้ทายว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไหน
ใจเอนเอียงไปในทางที่หลายคนคงคาดการณ์ไม่ต่างกัน
นั่นคือ เราคงต้องผจญ มลพิษ PM 2.5 “การเมือง” ต่อไป
เพราะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในภาคหน้า ดูขมุกขมัวด้วยนานาปัญหาที่รออยู่
หลายคนบอกว่าจะไร้เสถียรภาพ เป็นเป็ดง่อย
หลายคนบอกว่ารัฐบาลจะอายุสั้น ไปได้ไม่กี่น้ำ
แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้เราคงไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากแน่วแน่ไปกับเส้นทางการเลือกตั้ง เพียงเส้นทางเดียว
ถึงจะขมุกขมัว แต่ดูจะมีความหวังกว่าเส้นทางอื่น

4-5 ปีที่เราเลือกเดินไปในทาง “รัฐประหาร” ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว เราไม่ได้เดินไปข้างหน้า
หากแต่ย้อนหลังไปหลายปี
ดังนั้น ถึงจะเจอมลพิษ PM 4.0 หนักอย่างไร เราก็ต้องบ่ายหน้าไป
ด้วยความเชื่อว่า “ประชามติของชาวบ้าน” ผ่านผลการเลือกตั้ง จะบรรเทามลพิษลงได้
จึงไม่ควรสิ้นหวัง
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นคือ นักการเมืองทั้งหลาย เมื่อรู้ว่าอากาศข้างหน้ายังขมุกขมัว
ก็ไม่สมควรเป็นผู้เพิ่มมลพิษเข้าไปอีก
ซึ่งตรงนี้ ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร หากตระหนักร่วมกันว่า การแข่งขันทางการเมืองที่แม้จะ “รุนแรง” อย่างไร    ถ้าอยู่บนการแข่งขัน ที่เท่าเทียม
ไม่ใช้วิธีสกปรกต่อกัน
ก็จะช่วยทำให้การเลือกตั้งสะอาดขึ้น
เช่นเดียวกับกรรมการ ก็กระทำตนเป็นกรรมการที่เป็นกลาง เป็นธรรมจริงๆ
ถ้าช่วยกันได้ มลพิษลดลงอย่างแน่นอน

นี่เป็นการเขียนไปตามหลักการพื้นๆ ไม่ได้พิเศษพิโสอะไรเลย ถ้าหากทำได้ ก็อย่างที่บอก ลดภาวะมลพิษลงได้ทันที
ตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ เพียงแค่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมา
ไม่เพียงความรู้สึกของคนไทยเท่านั้นที่ผ่อนคลาย และมีความหวังขึ้นมาทันที
ต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ต่างออกแถลงการณ์ที่มากด้วยความหวังว่า ประเทศไทยจะก้าวกลับคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตยอันแท้จริง
ทุกคนต่างมีความหวัง ที่จะเห็นฟ้าสว่างสดใส หลัง 24 มีนาคม 2562

Advertisement

แม้อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นว่า เราไม่ได้หวังเห็นโลกสวยถึงขนาดนั้น ด้วยยังมองเห็นความขมุกขมัวอยู่
เมื่อคาดการณ์เช่นนั้น เราทุกคนก็ไม่ควรไปเพิ่มความเป็นพิษเข้าไปอีก
ทำให้การเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 เป็นจุดเริ่มต้นที่มีความหวัง แล้วประคับประคองให้เราสามารถเผชิญความขมุกขมัว ที่รออยู่ข้างหน้าได้อย่างเท่าทัน
ทุกอย่างก็จะได้ไม่เลวร้ายเกินไป
และหากประชาชนเกิดแสดงประชามติที่ดีๆ ผ่านผลการเลือกตั้ง 24 มีนาคมเสริมเข้าไปอีก
เผลอๆ เราอาจพ้น “เมืองในฝุ่น” ก็ได้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image